ยอดโอนเพชรบุรี- ประจวบฯวูบ อสังหาฯภาคตะวันตกปี59ซึมตามกทม.
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก พบขยายตัวไม่โดดเด่น ยอดโอนเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ลดวูบ ตามเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ขณะที่อัตราการดูดซับปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยส่วนทางหน่วยเหลือขายปรับขึ้น 26.2%
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม พบว่า ในปี 2559 มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน 1,441 แปลง เพิ่มขึ้น 25.2% แบ่งเป็น เพชรบุรี 445 แปลง เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 162.2%, ประจวบคีรีขันธ์ 116 แปลงลดลง 17.2%, สุพรรณบุรี 291 แปลง เพิ่มขึ้น 128.5%, ราชบุรี 250 แปลง เพิ่มขึ้น 116.2, สมุทรสงคราม 181 แปลง เพิ่มขึ้น 274% และจังหวัดกาญจนบุรี 158 แปลง เพิ่มขึ้น 239%
ขณะที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบมีจำนวนรวม 11,362หน่วย แบ่งเป็น ราชบุรี 4,483หน่วย เพิ่มขึ้น 3.2%, ประจวบคีรีขันธ์ 3,459หน่วย เพิ่มขึ้น 40.2%, เพชรบุรี 2,039หน่วย ลดลง 2.1%, สมุทรสงคราม 815 หน่วย เพิ่มขึ้น 22.9%, กาญจนบุรี 640 หน่วย ลดลง 7%, และสุพรรณบุรี 215 หน่วย ลดลง 21.1% ด้านการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด พบว่า เพชรบุรี มีจำนวน 457หน่วย, ประจวบคีรีขันธ์ 243 หน่วย,สมุทรสงคราม 92 หน่วย, ราชบุรี 85 หน่วย, สุพรรณบุรี 65 หน่วย และกาญจนบุรี 29 หน่วย
[caption id="attachment_157944" align="aligncenter" width="335"]
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์[/caption]
สำหรับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จ.เพชรบุรี จำนวน 1,902 หน่วย ลดลง 26% จากปี 2558 ที่มีจำนวน 2,569 หน่วย แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 1,078 หน่วย, คอนโดมิเนียม 824 หน่วย, ประจวบคีรีขันธ์ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3,242 หน่วย ลดลง 24.9% จากปี 2558 ที่มียอดโอน 4,317 หน่วย แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 1,957 หน่วย, อาคารชุด 1,285 หน่วย
เมื่อพิจารณาในด้านมูลค่าของยอดโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า เพชรบุรีมียอดโอนกรรมสิทธิ์รวม 3,829 ล้านบาท ลดลง 41.2%แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 1,603 ล้านบาท ลดลง 28.6%,อาคารชุด 2,227 ล้านบาท ลดลง 47.9% ,ประจวบคีรีขันธ์ ยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมมูลค่า 6.920 ล้านบาท ลดลง 27.7% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 9,572 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนบ้านแนวราบ 3,821 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน ขณะที่ อาคารชุดยอดโอนฯ 3,099 ล้านบาท ลดลง 46.1%
โครงการที่อยู่ระหว่างขายใน 2 จังหวัดหลักได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างขายจำนวน 73 โครงการ หน่วยในผังโครงการ 4,606 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 1,625 หน่วย โครงการอาคารชุด 23 โครงการ 5,467 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 874 หน่วย,จ.เพชรบุรี มีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างขาย 41 โครงการจำนวน 3,181 หน่วย หน่วยเหลือขาย 930 หน่วย ส่วนอาคารชุด มี 21 โครงการ 12,866 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 3,418 หน่วย
อัตราการดูดซับต่อเดือนของประจวบคีรีขันธ์ ในปี 2559 อยู่ที่ 6.7% ปรับตัวดีขึ้นจาก 5.1% ในปี 2558 แบ่งเป็นอัตราการดูดซับโครงการอาคารชุด 6.2%, บ้านเดี่ยว 5.6% บ้านแฝด 5.3% ทาวน์เฮาส์ 9.5% อาคารพาณิชย์ 9% , ส่วนจ.เพชรบุรี อัตราการดูดซับของตลาดทรงตัวคือ 6.6% เท่ากับปี 2558 โดยคอนโดมิเนียมมีอัตราการดูดซับ 6.8%, บ้านเดี่ยว 5.7% , บ้านแฝด 7.6% ทาวน์เฮาส์ 6.2%
“ตลาดอสังหาฯในภาคตะวันตกขยายตัวไม่โดดเด่นมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีจำนวนสินค้าเหลือขายในตลาดจำนวนมาก จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการระบาย ขณะที่อัตราการขายมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยบ้านระดับราคา 1.5-3 ล้านบาทขายดีที่สุด แม้ว่าตลาดดังกล่าวจะขายดี แต่เนื่องจากมีจำนวนสินค้าเหลือขายจำนวนมากทำให้สต๊อกปรับลดลงในอัตราที่ไม่มากนัก”ดร.วิชัย กล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,268 วันที่ 8 - 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม พบว่า ในปี 2559 มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน 1,441 แปลง เพิ่มขึ้น 25.2% แบ่งเป็น เพชรบุรี 445 แปลง เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 162.2%, ประจวบคีรีขันธ์ 116 แปลงลดลง 17.2%, สุพรรณบุรี 291 แปลง เพิ่มขึ้น 128.5%, ราชบุรี 250 แปลง เพิ่มขึ้น 116.2, สมุทรสงคราม 181 แปลง เพิ่มขึ้น 274% และจังหวัดกาญจนบุรี 158 แปลง เพิ่มขึ้น 239%
ขณะที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบมีจำนวนรวม 11,362หน่วย แบ่งเป็น ราชบุรี 4,483หน่วย เพิ่มขึ้น 3.2%, ประจวบคีรีขันธ์ 3,459หน่วย เพิ่มขึ้น 40.2%, เพชรบุรี 2,039หน่วย ลดลง 2.1%, สมุทรสงคราม 815 หน่วย เพิ่มขึ้น 22.9%, กาญจนบุรี 640 หน่วย ลดลง 7%, และสุพรรณบุรี 215 หน่วย ลดลง 21.1% ด้านการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด พบว่า เพชรบุรี มีจำนวน 457หน่วย, ประจวบคีรีขันธ์ 243 หน่วย,สมุทรสงคราม 92 หน่วย, ราชบุรี 85 หน่วย, สุพรรณบุรี 65 หน่วย และกาญจนบุรี 29 หน่วย
[caption id="attachment_157944" align="aligncenter" width="335"]
สำหรับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จ.เพชรบุรี จำนวน 1,902 หน่วย ลดลง 26% จากปี 2558 ที่มีจำนวน 2,569 หน่วย แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 1,078 หน่วย, คอนโดมิเนียม 824 หน่วย, ประจวบคีรีขันธ์ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3,242 หน่วย ลดลง 24.9% จากปี 2558 ที่มียอดโอน 4,317 หน่วย แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 1,957 หน่วย, อาคารชุด 1,285 หน่วย
เมื่อพิจารณาในด้านมูลค่าของยอดโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า เพชรบุรีมียอดโอนกรรมสิทธิ์รวม 3,829 ล้านบาท ลดลง 41.2%แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 1,603 ล้านบาท ลดลง 28.6%,อาคารชุด 2,227 ล้านบาท ลดลง 47.9% ,ประจวบคีรีขันธ์ ยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมมูลค่า 6.920 ล้านบาท ลดลง 27.7% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 9,572 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนบ้านแนวราบ 3,821 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน ขณะที่ อาคารชุดยอดโอนฯ 3,099 ล้านบาท ลดลง 46.1%
โครงการที่อยู่ระหว่างขายใน 2 จังหวัดหลักได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างขายจำนวน 73 โครงการ หน่วยในผังโครงการ 4,606 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 1,625 หน่วย โครงการอาคารชุด 23 โครงการ 5,467 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 874 หน่วย,จ.เพชรบุรี มีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างขาย 41 โครงการจำนวน 3,181 หน่วย หน่วยเหลือขาย 930 หน่วย ส่วนอาคารชุด มี 21 โครงการ 12,866 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 3,418 หน่วย
อัตราการดูดซับต่อเดือนของประจวบคีรีขันธ์ ในปี 2559 อยู่ที่ 6.7% ปรับตัวดีขึ้นจาก 5.1% ในปี 2558 แบ่งเป็นอัตราการดูดซับโครงการอาคารชุด 6.2%, บ้านเดี่ยว 5.6% บ้านแฝด 5.3% ทาวน์เฮาส์ 9.5% อาคารพาณิชย์ 9% , ส่วนจ.เพชรบุรี อัตราการดูดซับของตลาดทรงตัวคือ 6.6% เท่ากับปี 2558 โดยคอนโดมิเนียมมีอัตราการดูดซับ 6.8%, บ้านเดี่ยว 5.7% , บ้านแฝด 7.6% ทาวน์เฮาส์ 6.2%
“ตลาดอสังหาฯในภาคตะวันตกขยายตัวไม่โดดเด่นมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีจำนวนสินค้าเหลือขายในตลาดจำนวนมาก จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการระบาย ขณะที่อัตราการขายมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยบ้านระดับราคา 1.5-3 ล้านบาทขายดีที่สุด แม้ว่าตลาดดังกล่าวจะขายดี แต่เนื่องจากมีจำนวนสินค้าเหลือขายจำนวนมากทำให้สต๊อกปรับลดลงในอัตราที่ไม่มากนัก”ดร.วิชัย กล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,268 วันที่ 8 - 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560