“ชูศักดิ์”ชำแหละ 5 ด่านหินแก้รธน.มีขบวนการขัดขวางหวังสืบทอดอำนาจ

07 มี.ค. 2564 | 06:18 น.

“ชูศักดิ์ ศิรินิล”ชำแหละ 5 ด่านหิน แก้รัฐธรรมนูญ มีขบวนการขัดขวาง หวังสืบทอดอำนาจ คสช. แบบ “รัฐธรรมนูญข้าใครอย่าแตะ”

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะทำงานกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเส้นทางของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ ไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนสำเร็จเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้ จะต้องฝ่าฟันในอีก 5 ด่านสำคัญ คือ 

ด่านแรกสุด  ศาลรัฐธรรมนูญ - นัดอ่านคำวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 11 มีนาคมนี้

ด่านที่ 2  ที่ประชุมรัฐสภา จะต้องลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในวาระ 3 จะต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรืออย่างน้อย 84 เสียง

ด่านที่ 3  ต้องผ่านความเห็นชอบจากประชาชนโดยต้องทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้ต้องมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และ พรบ.ประชามติยังมีเงื่อนไขสำคัญ นอกจากผู้มาใช้สิทธิต้องมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้ว คะแนนเห็นชอบต้องมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิอีกด้วย

ด่านที่ 4 หลังจากรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมผ่านประชามติและประกาศใช้ ต้องมีการเลือกตั้ง ส.ส.ร. 200 คนโดยใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งในลักษณะเดียวกับเลือกตั้ง ส.ส. มี ส.ส.ร.ได้เขตละคน เป็นไปได้ว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ร.จะไปเกี่ยวพันกับอำนาจหรืออิทธิพลในท้องถิ่น รวมไปถึงการโยงใยกับการเมืองในระดับชาติ  

สุดท้าย ด่านที่ 5  เมื่อ ส.ส.ร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จ จะต้องให้ประชาชนเห็นชอบโดยต้องทำประชามติอีกครั้ง ในเงื่อนไขเดียวกับด่านที่สาม หากผ่านประชามติก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

 

นายชูศักดิ์ ชี้ว่า “ด่านที่สำคัญที่สุด” จะอยู่ในสองด่านแรก คือ  คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ว่าจะสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ และ การลงมติในวาระที่ 3 ของที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งต้องให้ ส.ว.ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม คือไม่น้อยกว่า 84 คน เห็นชอบด้วย หากผ่านด่านนี้ไปได้จึงจะมี ส.ส.ร. ที่จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมาทำหน้าที่ยกร่าง “รัฐธรรมนูญของประชาชน” ที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ยกร่างจากประชาชน มีบทบัญญัติที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

นายชูศักดิ์ ให้เหตุผลหักล้างเกี่ยวกับกระบวนการโต้แย้งคัดค้าน ขัดขวางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นต่างๆ ว่า ต้องถามว่าท่านมีความจริงใจอย่างแท้จริงที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 หรือไม่ จริงๆ แล้วท่านได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะท่านยอมรับเองว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ designed มาเพื่อพวกเรา ที่ต้องแก้เพราะถูกบีบบังคับจากสถานการณ์ทางการเมือง จากกระแสสังคมหรือไม่

“ที่ผ่านมาประชาชน ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ได้เสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา โดยให้มี ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนถึงขั้นผ่านร่างมาจนเข้าสู่วาระที่สอง อยู่ๆ ท่านเกิดสงสัยในอำนาจของตนเองขึ้นมาแล้วไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจที่ตนมี ทั้งที่ท่านล้วนเป็นผู้เสนอญัตติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยวิธีนี้ จึงทำให้นึกย้อนอดีตว่า จริงๆแล้วท่านแสดงออกทั้งโดยตรงและปริยายมาหลายครั้งตลอดมาว่า ท่านไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะแก้ไขแล้วอาจกระทบต่อสถานภาพของตนเอง 

จะเห็นได้ชัด คือ ร่างรายประเด็นที่เสนอไปพร้อมๆ กับร่างแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ ที่ไปกระทบต่อสถานะของพวกท่านล้วนถูกตีตกในวาระที่หนึ่งหมดทุกร่าง ไม่ว่าเรื่องอำนาจ ส.ว. ระบบเลือกตั้ง ยกเลิกนิรโทษกรรมตลอดกาล 

ส่วนการลงมติในวาระ 3 โดยเฉพาะจากส.ว.250 คน และต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 คือไม่น้อยกว่า 84 คนนั้น งานนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่าท่านมีความเป็นอิสระไม่อยู่ในอาณัติใดๆ หรือไม่ เพราะที่ไปที่มาของท่านเป็นเรื่องที่สังคมตั้งคำถามเรื่องความเป็นอิสระอยู่แล้ว งานนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่าท่านต้องการให้บ้านเมืองเดินไปอย่างไร ท่านอยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริงๆหรือไม่”

 

นายชูศักดิ์ ระบุอีกว่า การที่ผู้ร้องอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2555 ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านประชามติของประชาชน การแก้ไขโดยจัดทำร่างใหม่ควรทำประชามติขอความเห็นชอบจากประชาชนเสียก่อน เพราะประชาชนคือผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญนั้น ความจริงกระบวนการทีแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ยึดถืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน โดยทำประชามติถึงสองครั้ง กล่าวคือ

เมื่อร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมผ่านรัฐสภาแล้วต้องไปทำประชามติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา256 (8) หากผ่านประชามติแล้ว จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นกฎหมาย และเมื่อมีรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จึงจะมีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนเสร็จสิ้นแล้วก็ต้องนำไปทำประชามติอีกครั้ง ก่อนเข้าสู่กระบวนการประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 

จึงมิได้หมายความว่ารัฐสภายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เอง แต่ ส.ส.ร.เป็นคนยกร่างแล้วให้ประชาชนลงประชามติ เพื่อให้ความเห็นชอบ ทั้งหมดอยู่ในบริบทเรื่องอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แม้คำวินิจฉัยดังกล่าวจะเกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ยกเลิกไปแล้วก็ตาม


การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายใดๆ ทำได้สองวิธี คือ แก้ไขรายมาตราบางประเด็น เรียกว่าแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่..) (พ.ศ.....) หรือ แก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกกฎหมายเก่าแล้วตราขึ้นมาใหม่ โดยที่อาจแก้มากแก้น้อย การอ้างว่าจัดทำฉบับใหม่ไม่ได้ จึงเท่ากับต้องแก้ไขเพิ่มเติมเป็นมาตราๆ ไปเท่านั้น แปลว่ารัฐธรรมนูญ หรือก.ม.นั้นๆ จะเป็นนิรันดร์ยกเลิกเพื่อทำใหม่ไม่ได้เลย ผิดหลักกระบวนการนิติบัญญัติอย่างสิ้นเชิง

รัฐธรรมนูญมิได้ห้ามมิให้แก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวิธีนี้ ทั้งหมดอยู่ในความหมายของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น จึงถือว่ามีอำนาจทำได้ ข้อห้ามมิให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มีเพียงข้อห้ามตามมาตรา 255 คือการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

นายชูศักดิ์ ระบุวทิ้งท้ายว่า ที่พูดว่า “ท่าน” ขอให้คิดเองว่าหมายถึงใครบ้าง อยากจะกล่าวว่า ข้ออ้างทั้งหมด ตนเห็นว่าเป็นเพียงความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. แบบ “รัฐธรรมนูญข้าใครอย่าแตะ” ซึ่งถ้าทบทวนตั้งแต่กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2560 เนื้อหา โดยเฉพาะการได้มาซึ่งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็น ครม., รัฐสภา, องค์กรอิสระทั้งหลาย อาจถือได้ว่ากระบวนการที่ทำอยู่นี้เป็นการร่วมมือ คบคิดกันปู้ยี่ปู้ยำประเทศ เพียงเพื่อคงอำนาจและสืบทอดอำนาจของพวกตัวเองไว้เท่านั้น

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :