โพล ระบุคนไทย 81%ไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญ แต่อยากแก้รธน.ตามคำชี้นำ

27 ก.ย. 2563 | 10:33 น.

 

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2563 นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง"มหามิตรต่างชาติ กับ การแทรกแซงชาติไทย" กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,069 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21 – 26 ก.ย. 63 สรุปผลได้ดังนี้

 

เมื่อถามถึงประสบการณ์การอ่านรัฐธรรมนูญของประชาชนปี พ.ศ.2540 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.5 ระบุไม่เคยอ่านเลย ในขณะที่ร้อยละ 2.5 เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 16.0 เคยอ่านทั้งฉบับ

 

นอกจากนี้ เมื่อถามถึง ประสบการณ์การอ่านรัฐธรรมนูญของประชาชนปี พ.ศ. 2560 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.7 ระบุไม่เคยอ่านเลย ในขณะที่ร้อยละ 2.1 เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 26.2 เคยอ่านทั้งฉบับ

 

 

โพล ระบุคนไทย 81%ไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญ แต่อยากแก้รธน.ตามคำชี้นำ

 

ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.3 ระบุจะแก้รัฐธรรมนูญ เพราะฟังคนอื่นเขาว่ามาเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านด้วยตนเอง ในขณะที่ร้อยละ 14.7 ระบุอ่านด้วยตนเองอย่างละเอียด ครบถ้วน ทุกมาตรา

 

ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.6 ระบุ ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ได้บางมาตรา แต่ห้ามแตะต้อง ล่วงละเมิด หมวด 1 และ 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ในขณะที่เพียงร้อยละ 4.4 ระบุว่าแก้ไขได้

 

 

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.1 ระบุว่ามีต่างชาติแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศไทย เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การชุมนุมม็อบต่าง ๆ ในขณะที่ร้อยละ 24.9 ระบุไม่มี


 เมื่อถามถึง ประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติ กับ ประเทศไทย ระหว่างจีน กับ สหรัฐอเมริกา ที่เข้าถึง เข้าใจ วัฒนธรรมไทย จิตใจของคนไทยแท้จริง พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 54.2 ระบุทั้งสองประเทศเป็นมหามิตรต่างชาติของไทย ในขณะที่ร้อยละ 22.5 ระบุประเทศจีน ร้อยละ 15.6 ระบุ สหรัฐอเมริกา และร้อยละ 7.7 ระบุไม่ใช่ทั้งสอง

 

เมื่อถามถึงประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติ กับ ประเทศไทย ระหว่าง จีน กับ สหรัฐอเมริกา ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลคนไทย และ ประเทศไทย อย่างจริงใจมาโดยตลอด พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.5 ระบุ ทั้งสองประเทศเป็นมหามิตรต่างชาติของไทย ในขณะที่ร้อยละ 23.2 ระบุประเทศจีน ร้อยละ 18.3 ระบุสหรัฐอเมริกา

 

เมื่อถามถึงประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติ กับ ประเทศไทย ระหว่าง จีน กับ สหรัฐอเมริกา ที่ควรเข้ามาทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยทั้งประเทศต่อ สถาบันหลักของชาติ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 52.8 ระบุ ทั้งสองประเทศควรเข้ามา ในขณะที่ร้อยละ 17.7 ระบุว่าสหรัฐอเมริกาควรเข้ามาทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยทั้งประเทศต่อ สถาบันหลักของชาติ และร้อยละ 16.3 ระบุเป็นประเทศจีน และร้อยละ 13.2 ระบุไม่ใช่ทั้งสองประเทศนี้


 ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญกันทั้งรัฐธรรมนูญปี 40 กับ รัฐธรรมนูญปี 60 แต่การที่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปตามการชี้นำของผู้อื่นที่เขาว่ามาไม่ได้อ่านด้วยตนเอง นอกจากนี้ คนไทยส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ห้ามแตะต้อง ล่วงละเมิดแก้รัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 และ 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ โดยยังเห็นว่ามีขบวนการต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญและการชุมนุมของกลุ่มม็อบต่าง ๆ

 

 อย่างไรก็ตาม คนไทยยังมองว่าทั้งประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหามิตร ที่ควรเข้ามาช่วยกันทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยต่อสถาบันหลักของชาติมากกว่าจะทำลายเสาหลักของชาติไทยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

 

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวด้วยว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนและประชาชนคนไทยส่วนใหญ่มีความสุข เมื่อทุกคนสำนึกรู้คุณแผ่นดินและสถาบันหลักของชาติ โดยการเมืองเป็นเรื่องของการเมืองอย่างแท้จริง ใคร #ไม่รักแต่อย่าทำลาย เพราะประเทศไทยจำเป็นต้องมีเสาหลักของชาติ มีเกราะไว้ป้องกันชาติและประชาชน ที่อยู่เหนือการเมือง ผู้ใดจะก้าวล่วงละเมิดไม่ได้ 

 

แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกภาพหนึ่งคือ บ้านเมืองวุ่นวาย เสาหลักของชาติถูกสั่นคลอน ไร้ระเบียบ ไม่มีใครคุมใครได้ เพราะปล่อยให้มีการคุกคามสถาบันหลักของชาติต่อเนื่อง จนเกิดการเลียนแบบอย่างกว้างขวาง จนบ้านเมืองมีแต่ซากปรักหักพังและการสูญเสีย จากนั้น ประเทศมหาอำนาจจะอ้างความชอบธรรมเข้ามาจัดระเบียบประเทศไทยใหม่ แต่พวกเขามักจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ชาติไทยออกไปด้วยกลายเป็นว่าพวกเรากำลังจะทำลายบ้านเมืองของเรา เมื่อบ้านเมืองของเราพังพินาศก็ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเอาทรัพยากรของชาติเราไป ถึงเวลานั้น ใครหรือกลุ่มใดจะมีพลังมากพอที่จะปกป้องชาติเอาไว้ได้เล่า

 

“วันนี้ ณ เวลานี้ ทุกคนน่าจะรักษาสถานภาพเดิมให้คงอยู่ต่อไป (The Status Quo) เพราะทุกวันนี้ประเทศไทยและคนในชาติ ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งของโลกในหลายเรื่อง เช่น การแก้ปัญหาวิกฤตโควิด และวิกฤตชาติเวลานี้ก็กำลังคลี่คลายในทางที่ดี ส่วนปัญหาปากท้องของประชาชนก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกรัฐบาลที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและประเทศไทยก็ยังดีกว่าหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันนี้ และพวกเราคนไทยบางคนจะพยายามเคลื่อนไหวสั่นคลอนชาติของตนเองต่อไป เพื่อผลประโยชน์ของใคร” นายนพดล กรรณิกา กล่าว