กกต.แจงยิบยุติสอบงบการเงิน 32 พรรคการเมือง

24 ก.ย. 2563 | 06:57 น.

กกต.แจงยิบยุติสอบงบการเงิน 32 พรรคการเมือง ยึดคำวินิจฉัยศาลรธน.เป็นหลัก ชี้เหตุ 3 พรรค ภท.-ปชท.-พท.รอด เพราะเป็นยอดหนี้คงค้างที่กู้ยืมตั้งแต่ปี 55 และไม่เกิน 10 ล้านต่อคนต่อปี อ้างเอกสารในเว็บหาย จนท.สะเพร่าใส่เอกสารเกิน-เรียงลำดับเอกสารสลับหน้า

 

วันนี้ (24 ก.ย.63) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ชี้แจงกรณียุติเรื่องการตรวจสอบงบการเงินของ 32 พรรคการเมือง (รวมพรรคอนาคตใหม่) ที่มีการกู้ยืมเงินมาใช้ในกิจการของพรรคการเมือง ว่า การแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวยังมีความคลาดเคลื่อน ไม่ตรงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย รวมทั้งการดำเนินการของนายทะเบียนพรรคการเมืองและสำนักงานกกต. ซึ่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินของ 32 พรรคการเมือง เป็นไปตามแนวทางเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2563 ลงวันที่ 21 ก.พ. 63  ว่าสถานะของเงินกู้ยืมไม่ถือเป็นรายได้ของพรรคการเมืองตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง 60 มาตรา 62 แต่เป็นรายรับและเป็นเงินทางการเมือง

 

การดำเนินการเกี่ยวกับการได้มาและการใช้จ่ายเงิน เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง จึงกระทำได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น  ซึ่งการให้กู้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย หรือคิดดอกเบี้ยที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า หรือการทำให้หนี้ที่พรรคการเมืองเป็นลูกหนี้ลดลง หรือเป็นการได้เงิน   หรือประโยชน์อื่นใดที่ไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย ที่โดยปกติต้องจ่าย ถือเป็นประโยชน์อื่นใดตามมาตรา 4 ของกฎหมายเดียวกัน และต้องอยู่ภายใต้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 45 วรรคสอง และภายใต้หลักเกณฑ์  เงื่อนไข ในการบริจาค และการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 66 และ 72 

 

ทั้งนี้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดนั้นมาตรา 66 ของพ.ร.ป.พรรคการเมืองกำหนดไม่ให้พรรคการเมืองรับบริจาคฯมีมูลค่าเกินกว่า 10 ล้านบาทต่อคนต่อปี และมาตรา 72 กำหนดให้การรับบริจาคเงิน  ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 66 ไม่ว่าจะจำนวนเท่าใดก็ตามถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น

 

ซึ่งในการตรวจสอบงบการเงินของทุกพรรคการเมืองนับแต่พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 60 มีผลบังคับใช้แล้ว พบว่ามี 3 พรรคการเมืองที่มีงบการเงินประจำปี 61 กู้ยืมเงินเกินกว่า 10 ล้านบาท คือ พรรคภูมิใจไทย 30 ล้านบาท พรรคประชากรไทย 12 ล้านบาท และพรรคเพื่อไทย 13 ล้านบาท แต่เป็นกรณีที่พรรคทั้งหมดกู้ยืมมาตั้งแต่ปี 2555 และยังไม่มีการใช้เงินคืน จึงเป็นยอดหนี้คงค้างไว้ในงบการเงินปี 61 และในแต่ละปีเป็นยอดเงินกู้ยืมไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อคนต่อปี จึงไม่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 62 และมาตรา 72 ของพ.ร.ป.พรรคการเมือง

 

ส่วนกรณีประกาศนายทะเบียนพรรคการเมืองเรื่องงบการเงินของพรรคการเมืองประจำปี 2561 ที่ได้ลงประกาศในเว็บไซด์ของสำนักงานกกต.ไปแล้วจำนวน 79 พรรครวม 609 หน้า ภายหลังตรวจสอบพบว่ามีเอกสารบันทึกข้อความเกี่ยวกับรายงานการรับบริจาคเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดลงประกาศไปด้วย ซึ่งเอกสารดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับงบการเงินของพรรคการเมืองแต่อย่างใด จึงได้นำเอกสารดังกล่าวออกจากเว็บไซด์ของสำนักงานกกต. ทำให้เอกสารงบการเงินของพรรคการเมืองเหลือจำนวน 608 หน้า ซึ่งสามารถดูได้ที่เว็บไซด์กกต.

 

สำหรับที่เอกสารงบการเงินของพรรคการเมืองสลับหน้ากัน เนื่องจากในขั้นตอนจัดทำไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ของพรรคการเมืองดังกล่าว เพื่อเผยแพร่ทางเว็บไซต์กกต. มีเอกสารจำนวนมาก จึงต้องแยกเอกสารเป็น 13 ชุด เพื่อสแกน โดยในขั้นตอนนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เกิดความคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามลำดับของชุดเอกสารดังกล่าว ทำให้ไฟล์เอกสารสลับหน้ากัน

 

เป็นเหตุให้เอกสารงบการเงินของ 9 พรรคการเมือง คือ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ( พรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย) พรรคพลังประชาธิปไตย พรรคพลเมืองไทย( พรรคพลังพลเมืองไทย) พรรคไทยธรรม พรรคพลังปวงชนไทย และพรรคพลังสังคม เรียงลำดับไม่ต่อเนื่องกัน

 

แต่เอกสารงบการเงินของพรรคการเมืองทั้ง 79 พรรค ที่กกต.เผยแพร่ยังมีข้อมูลถูกต้องครบถ้วนตามที่แต่พรรคได้จัดส่งมา ซึ่งงบการเงินของพรรคการเมืองต้องจัดให้มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและรับรอง และต้องนำเข้าที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง เพื่ออนุมัติ และหัวหน้าพรรคต้องรับรองความถูกต้อง ร่วมกับเหรัญญิกพรรคการเมือง ก่อนจัดส่งให้นายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งต้องสอดคล้องกับรายงานการประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองและระบบบัญชีของพรรคการเมือง จึงไม่มีผู้ใดจะไปแก้ไขงบการเงินของพรรคการเมืองที่ส่งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองให้ผิดไปจากงบการเงินที่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่พรรคได้  ซึ่งเอกสารงบการเงินของพรรคการเมืองที่มีการสลับหน้ากันทางกกต.จะดำเนินการแก้ไขลำดับเอกสารให้ถูกต้องต่อไป