“วัชระ”ร้อง“เสรีพิศุทธ์”ช่วยคืนความเป็นธรรมให้“พล.ต.อ.วิระชัย”

05 ส.ค. 2563 | 08:28 น.

“วัชระ”ร้อง“เสรีพิศุทธ์” ช่วยคืนความเป็นธรรมให้“พล.ต.อ.วิระชัย” กรณีถูกผบ.ตร.สั่งสอบวินัยกลางฤดูโยกย้ายจากเรื่องดักฟังโทรศัพท์

วันนี้ (5 ส.ค.63) ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ 414 สภาผู้แทนราษฎร นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานกมธ.ปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบการออกคำสั่งของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เกี่ยวกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และกรณีสั่งให้สำรองราชการว่าประพฤติมิชอบหรือไม่

 

นายวัชระ กล่าวว่า พล.ต.อ.วิระชัย ซึ่งมีอาวุโสอันดับ 1 ในการที่จะได้รับการพิจารณาขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในวาระวันที่ 1 ตุลาคม 2563 นี้ เหตุใด พล.ต.อ.จักรทิพย์ จึงสามารถออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับ พล.ต.อ.วิระชัย ได้ ทั้งที่เป็นคู่พิพาทกัน ซึ่งขัดกับกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนและพิจารณา หมวด 1 ว่าด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ที่ระบุว่า ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการสอบสวนจะต้องไม่เป็นบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ในเรื่องที่สอบสวน หรือมีส่วนได้เสียในเรื่องที่สอบสวน

 

รวมทั้งผู้ที่เป็นคณะกรรมการสอบสวนล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผู้ออกคำสั่ง โดยไม่มีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นกลางมาสอบสวนในเรื่องนี้

 

ทั้งนี้ นายวัชระ ยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียในการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด แต่เห็นว่า การโยกย้ายและลงโทษรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโสลำดับที่ 1 ในช่วงกลางฤดูโยกย้ายเป็นเรื่องผิดปกติในสายตาของวิญญูชนโดยทั่วไป

 

ยิ่งไปกว่านั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังเคยยอมรับว่าไม่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากการให้สัมภาษณ์เรื่องคดี นายบอส อยู่วิทยา ด้วยนั้น ทำให้สงสัยว่าการออกคำสั่งกล่าวโทษ พล.ต.อ.วิระชัย จะเชื่อถือได้อย่างไรว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว

 

จึงขอให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และในฐานะประธานคณะกรรมาธิการปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะเป็นช่วงเวลาที่กำลังจะพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้