คำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากตำรวจและอัยการ ในคดี “บอส”

04 ส.ค. 2563 | 14:11 น.

คำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากตำรวจและอัยการ ในคดี “บอส”

นายแก้วสรร อติโพธิ เขียนบทความ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากตำรวจและอัยการ ในคดี “บอส” ว่า หลังจากที่ให้เกียรติ์รอฟังคำชี้แจงจากคณะทำงานตรวจสอบคดีบอส ของอัยการ จนๆ ได้คำตอบมาพอสังเขปแล้วในวันนี้ ผมก็เห็นว่ายังมีคำถามสำคัญที่ยังไม่ได้ตอบอีกไม่น้อย ดังจะขอทวงถาม ไปโดยลำดับดังนี้
 

คำถามที่ ๑ :  หลักฐานไม่พอฟ้อง ?
 

๑.๑) คำอธิบายว่า “หลักฐานไม่พอฟ้อง” นั้นรับฟังได้ ถ้าไม่มีใครเอาหลักฐานที่พอฟ้องได้ออกไปจากสำนวน   คำถามจึงมีอยู่ว่าทำไมผลการตรวจเลือดของนายบอส  ที่สาขาวิชานิติเวช  คณะแพทย์ รามาฯ ที่รายงาน สน.ทองหล่อ เป็นทางการว่า “ พบ  Cocaethylene  อันเป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือดในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย (Metabolism)  หลังการ เสพ Cocaine ร่วมกับแอลกอฮอล์ ”นั้น    แล้วทำไมรายงานนี้จึงไม่มีอยู่ในสำนวนสอบสวนที่อัยการส่งให้อัยการกรุงเทพใต้ ใครเอาออกไป จนสั่งไม่ฟ้องคดีในฐาน เมาสุราหรือเมายาขับรถ
 

๑.๒) ในสำนวนสอบสวนดังกล่าว รายงานไว้อย่างไร  ทำไมอัยการกรุงเทพใต้ทั้งผู้รับผิดชอบและอธิบดีใน ปี ๒๕๕๙ จึงไม่สงสัยเลยว่า รถพังยับเยินอย่างนี้ ควรจะมีผลการตรวจแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดจากสถาบันทางนิติเวชเช่นคดีปกติทั่วไปมาแสดงในสำนวนสอบสวนด้วย   อำนาจดุลพินิจอัยการที่เชื่อตำรวจไปหมดจนไม่ยอมสงสัยอะไรเลยอย่างนี้ นี่คืออำนาจตรวจสอบของอัยการที่เราต้องยอมรับ เช่นนั้นหรือ
 

๑.๓) คดีนี้ เรื่องเมาเหล้าหรือเสพยาขับรถนี้ สำคัญมากๆ  หากขับรถชนคนตายแล้ว ก็ติดคุกถึง ๑๐ ปี เท่ากับขับรถโดยประมาทเลยทีเดียว   ผิดติดคุกโดยพนักงานสอบสวนและอัยการไม่ต้องพิสูจน์ความเร็วรถ หรือความประมาทของใครเลย   พยานตรวจเลือดที่สำคัญที่สุดอย่างนี้ อัยการไม่บี้ให้กระจ่างได้อย่างไร
 

๑.๔) มาวันนี้ หากเสนอกันไว้ว่าจะหยิบเรื่องโคเคนขึ้นมาเป็นหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินคดี   ก็อย่าไปเอาผิดเฉพาะความผิดตามกฎหมายยาเสพติดเท่านั้น   ต้องใช้ความผิดฐานเมายาขับรถชนคนตาย ตามกฎหมายจราจรทางบกนี้ด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำถามที่ ๒ : อำนาจให้ความเป็นธรรมของอัยการสูงสุด?
 

๒.๑) คดีข้อหาประมาทนี้ อัยการกรุงเทพใต้สั่งฟ้องไปแล้ว รอแต่หาตัวมาส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น    แล้วอำนาจอัยการสูงสุดยังมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องทับลงไป ตามคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาบอสได้อีกหรือ
 

๒.๒)  ยิ่งไปกว่านั้น คำร้องขอความเป็นธรรมที่ว่านี้   เมื่อร้องไปยังอัยการสูงสุดคนก่อน   ก็ได้มีการพิจารณา และใช้อำนาจอัยการสูงสุดสั่งให้ยุติกระบวนการพิจารณาคำร้องนี้แล้วอีกด้วย  อัยการสูงสุดคนใหม่จะมาสั่งทับคำสั่งยุติคำร้องนี้อีกได้อย่างไร กฎหมายอัยการบอกว่าอัยการสูงสุดคนใหม่ต้องมีอำนาจสูงสุดกว่าคนก่อนอย่างนั้นหรือ  อัยการประเทศไหน
 

คำถามที่ ๓ : อำนาจร้องสอดของกรรมาธิการ?
 

เมื่ออัยการสูงสุดคนก่อนสั่งยุติเรื่องแล้วคำร้องนี้จึงไหลมาเข้าที่ประชุม กมธ.กฎหมาย ของสภา หรือ สนช.   แล้วจากนั้นก็มีหนังสือจาก กมธ.นี้ส่งไปยัง อสส.ปัจจุบัน แล้วมีการใช้อำนาจ อสส.สั่งไม่ฟ้องข้อหาประมาททำให้คนตายไปในที่สุด
 

๓.๑) คำถามแรกมีอยู่ว่า หนังสือนี้ระบุความเห็นว่าอย่างไร และจริงหรือไม่ที่มีผู้ชี้แจงว่า ที่ประชุม กมธ.ไม่ยอมรับพิจารณาคำร้องนี้เลย  แล้วเหตุใดจึงมีหนังสือถึง อสส. ออกมาได้ในนามของคณะกรรมาธิการ  มีใครในคณะกรรมาธิการออกหนังสือโกหก เปิดเกมส์ให้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมอีกครั้งอย่างนั้นหรือ ถ้ามี ใครควรจะเป็นจำเลยในก๊วน ๑๕๗ นี้บ้าง
 

๓.๒) หนังสือนี้ส่งถึง อสส. คนปัจจุบัน  ใครเป็นผู้ใช้อำนาจ อสส.รับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ อสส.เดิมสั่งยุติไปแล้ว กมธ.มีอำนาจอะไรมามาสอดส่าย ให้ สนง.อัยการสูงสุด รับเรื่องนี้ขึ้นมาได้  ไหนว่ารัฐธรรมนูญรับรองให้อัยการเป็นองค์กรอิสระไปแล้ว   จริงหรือไม่ว่า อัยการที่รับหน้าที่กลั่นกรองเรื่อง ได้ตรวจและเสนอเป็นเบื้องต้นไว้แต่แรกแล้วว่า พยานตามคำร้องไม่พึงรับฟัง  แล้วเบื้องบนคนไหนสั่งฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ให้สอบพยานเพิ่มเติมตามคำร้องได้ ใช่ อสส.คนปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร ไม่ใช่ไปต่างจังหวัดแล้วหรือ

คำถามที่ ๔ : ยังทนดูกันต่อไปได้อีกหรือ ?
 

การเต้นตามตามคำร้องขอความเป็นธรรมของจำเลยหรือผู้ต้องหา (ที่มีฐานะ) อย่างยืดเยื้อ ไม่มีหยุด แล้วลงเอยเป็นการใช้อำนาจดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องอย่างน่าคลางแคลงของอัยการ ที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ นี้   ระเบิดเป็นคำถามตามรายทางมาหลายปี  และถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่น่าจะทนกันได้อีกต่อไปแล้ว
 

๔.๑) ที่ส่งฟ้องไปแล้ว ก็ยังถอนฟ้องได้ เช่นคดีธรรมะชโย   หรือไม่ก็ไม่อุทธรณ์ไปเสียเฉยๆ เช่น คดีโอ๊ค ก็ทำมาแล้ว   ทั้งๆที่คดีนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเขาเห็นตามอัยการและ    ดีเอสไอแล้วด้วย
 

๔.๒) คดีธรรมกาย คดีวิคตอเรีย สองคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทุ่มเทเต็มที่ อัยการที่ร่วมสอบสวนก็ยืนหยัดเห็นด้วยจนเห็นควรเสนอให้ฟ้อง   แต่อัยการในสำนักงานก็สั่งสอบเพิ่มเติมตามคำร้องจำเลยมาตลอด   แล้วก็สั่งไม่ฟ้องไปในที่สุด    จนไม่รู้จะให้อัยการมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอเขาทำไม ในเมื่อไม่ฟังเขาเลยอย่างนี้ ทำไมไม่ให้ ดีเอสไอฟ้องเองไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่ออัยการก็เข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่แรก เหมือนนานาประเทศเขาแล้ว
 

๔.๓) มาคดีบอสนี่ บานปลายสูงสุดถึงขนาดอัยการสั่งคดีทับกันเองได้ ราวกับเป็นศาลพิพากษาทับกันเองไปมา ตามที่จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกากะให้ถึงที่สุดเลยทีเดียว แถมชั้นฎีกายังมี กมธ.สภาร้องสอดเข้ามาอีกด้วย  

 

พอกันทีแล้วใช่ไหม กับ “อำนาจดุลพินิจ” ที่เละเทะแบบนี้ ?

คณะกรรมการอัยการ กับ ปปช. ทนได้ไหมครับ?