7กกต.ระทึกศาลพิพากษา 17ก.ย.ปมยกคำร้องคดีทุจริตเลือกตั้งส.ส.พัทลุง

13 ก.ค. 2563 | 08:54 น.

กกต.ระทึก ศาลอาญาสั่งแจงข้อมูล-หลักฐานยกคำร้องคดีทุจริตเลือกตั้งส.ส.เขต 2 พัทลุง ใน 30 วัน พร้อมนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา 17 ก.ย.นี้

วันนี้ (13 ก.ค.63 ) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้ออกนั่งพิจารณาคดีที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ กกต. รวม 7 คน เป็นจำเลยกรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 จากเหตุยกคำร้องทุจริตเลือกตั้งส.ส.เขต 2 พัทลุง 

 

โดยศาลได้ตรวจคำฟ้องและมีคำสั่งให้กกต.ชี้แจงเพิ่มเติม ระบุว่า  คำฟ้องโจทก์ได้ระบุรายละเอียดตัวบุคคล เอกสาร หรือวัตถุพยาน ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง และพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ 

 

แต่เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคำฟ้องและมีคำสั่งเกี่ยวกับคดี เห็นควรมีหนังสือถึงสำนักงาน กกต. เพื่อให้จัดส่งข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณี นายนิพิฏฐ์ ร้องเรียนการเลือกตั้งส.ส.พัทลุง เขตเลือกตั้งที่ 2 มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งต่อศาล ประกอบด้วย กกต.ได้มีการดำเนินการสืบสวน สอบสวน และมีคำวินิจฉัยกรณีดังกล่าวหรือไม่อย่างไร พร้อมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องถ้าหากมี และกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกกต.ในกรณีดังกล่าว พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องถ้าหากมี

 

โดยให้จัดส่งข้อมูลดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้ง และนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 17 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

 

อ่านประกอบ: 

“นิพิฐฏ์”ฟ้องศาลเอาผิด 7 กกต.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบปมเลือกตั้งพัทลุง

กกต.ยกคำร้อง“นิพิฏฐ์”กล่าวหา“ฉลอง”ทุจริตซื้อเสียง

กกต.ฉุนนิพิฏฐ์จ่อฟ้องหมิ่นปมยกคำร้องทุจริต"เลือกตั้งส.ส.เขต2พัทลุง"

 

 


 

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่  29 มิ.ย.63 นายนิพิฏฐ์ เปิดเผยว่า ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ให้เอาผิดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 7 คน ข้อหาปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เนื่องจากบุคคลทั้ง 7 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการจัดการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม และต้องใช้อำนาจหน้าที่อย่างกล้าหาญ ปราศจากอคติ และการใช้ดุลยพินิจต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ตามรัฐธรรมนูญ  พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต.  และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง

 

ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ตนได้ยื่นเรื่องต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบการซื้อเสียงในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพัทลุง ของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 ใน 4 ประเด็น โดย กกต.ได้ยกคำร้อง 2 เรื่อง 

 

แต่อีก 2 เรื่องใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจเกินขอบเขตของกฎหมาย ทำให้ในตนจำเป็นต้องฟ้อง กกต.ทั้ง 7 คน เนื่องจากได้สมคบคิดใช้อำนาจ มีอคติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ใช้อำนาจ ใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ไม่มีข้อเท็จจริง และเหตุผลรองรับการใช้ดุลพินิจอันเป็นการช่วยเหลือผู้สมัคร และพรรคการเมืองหนึ่งให้เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในเขตการเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพัทลุง แทนที่จะใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้งที่มีข้อเท็จจริงปรากฎชัดว่า เต็มไปด้วยการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะเป็นผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

“การกระทำของ กกต.ทั้ง 7 เป็นการใช้ดุลยพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล และเป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ จนล้ำออกนอกเขตของความชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยทุจริตตามนัยยะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549”

 

นอกจากนี้ การกระทำของ กกต.ทั้ง 7 ยังเป็นการบั่นทอนและทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากปล่อยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป กกต.จะเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ทุจริต และเข้าไปแสวงหาอำนาจและประโยชน์อันจะเกิดความเสียหายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง” นายนิพิฏฐ์ ระบุ

สำหรับ 4 ประเด็น ที่นายนิพิฏฐ์ ยื่นร้อง กกต.ประกอบด้วย

 

กรณีที่ 1 พบการซื้อเสียงที่ ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งมีหลักฐานภาพถ่าย และพยานเล่ากับตนว่ามีการรับเงิน 4 พันบาทให้กับคน 8 คน เพื่อซื้อเสียง แต่หลังจากพยานให้การกับ กกต.ครั้งแรกก็ได้ให้การเหมือนกับที่เล่าให้ตนฟัง แต่หลังจากนั้นพยานคนดังกล่าวกลับไปให้การใหม่แล้วบอกว่า ไม่ขอยืนยันคำให้การเดิมที่เคยให้การไว้

 

กรณีที่ 2 กรณีที่มีภาพรายชื่อหัวคะแนน และคลิปกำลังจ่ายเงินเพื่อจูงใจให้เลือกผู้สมัครพรรคการเมืองหนึ่ง ของคืนวันที่ 23 มี.ค. 2562

 

“กกต. ยกคำร้องเพราะพยานไปให้การว่า ตอนที่พยานอัดคลิปนี้ พยานไม่รู้ว่าเงินอะไร พยานไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดกัน แต่อันนี้มันไม่จริง เพราะว่าที่พยานส่งคลิปให้ผมนั้นมันชัดเจน ว่าเงินนี้ของเบอร์ ... นะ 500 นะ สิ่งที่พยานบอกว่าไม่รู้ว่าเงินอะไร มันขัดกับภาพบัญชีคนซื้อเสียง แล้วบอกว่าไม่รู้ว่าเขาซื้อเสียงว่าเงินอะไร กกต.ยกคำร้องด้วยเหตุผลที่ว่าผู้บันทึกคลิปนี้ได้บอกว่าไม่ได้ยินว่าเขาพูดกันว่าอะไร เลยยกคำร้อง”นายนิพิฏฐ์ กล่าว

 

กรณีที่ 3 กรณีกลุ่มไลน์ “เพื่อนนายฉลอง” ซึ่งมีสมาชิกราว 400 คน มีการส่งรูปบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก โดยในกรณีกลุ่มไลน์ “เพื่อนายฉลอง” นี้ ตนร้องกกต. 2 เรื่อง คือ กำนันผู้ใหญ่บ้านไม่ว่างตัวเป็นกลาง เพราะมีการให้ผู้ใหญ่บ้านไปถ่ายรูปบัตรประชาชนแต่ละบ้านส่งเข้ากลุ่ม แต่มีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งปฏิเสธที่จะทำ เพราะต้องการวางตัวเป็นกลาง หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวถึงถูกให้ออกจากกลุ่มไลน์ดังกล่าว

 

“ดังนั้นเรื่องนี้ผมร้อง กกต.ว่า ข้าราชการวางตัวไม่เป็นกลาง ตาม พรบ.การเลือกตั้ง แต่ กกต. วินิจฉัยว่า การที่ถ่ายบัตรประชาชนจำนวน 35,000 ใบ ลงในกลุ่มไลน์เพื่อนนายฉลองนั้น เป็นเรื่องของการสำรวจคะแนนนิยม ว่ามีคนนิยมพรรค ... เท่าใด แต่ผมก็โต้แย้งว่า การสำรวจคะแนนนิยมนั้น 1.เขาไม่ใช้กำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไปทำในขณะนี้กำลังมีพรฎ.การเลือกตั้ง ขนาดทำโพลยังทำไม่ได้เลย 2.ถ้าเป็นการสำรวจคะแนนนิยมจริง คุณลบชื่อผู้ใหญ่บ้านที่เป็นกลางในทางการเมืองออกทำไม แต่ในเรื่องนี้ กกต.ให้เหตุผลว่าได้เรียกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนนั้นมาสอบสวนแล้ว กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เป็นการสำรวจคะแนนนิยม แล้วเขาวางตัวเป็นกลาง เขาไม่ได้ข่มขู่บังคับ กกต.ก็ยกคำร้อง ด้วยเหตุที่ว่า กำนันผู้ใหญ่บ้านยังวางตัวเป็นกลางอยู่ ทั้งๆ ที่กรณีการสำรวจคะแนนนิยม ตาม พรบ.ลักษณะการปกครองท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้”