ปัญหาความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลัง 18 กรรมการบริหารพรรคลาออกเพื่อบีบให้ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง พ้นหัวหน้าพรรค และเตรียมผลักดัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค โดยแกนนำกลุ่มต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อการปรับ ครม.ตามที่ตัวเองต้องการเก้าอี้สำคัญๆ นั้น
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผอ.ศูนย์วิจัยการเมืองและการเลือกตั้ง มหาวิทยาลัยรังสิต แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า การปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคพลัง ประชารัฐไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ ขณะที่พรรคนี้มี หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเป็นนักการเมือง แบบใหม่หรือเทคโนแครต เป็นบุคคลที่ทำงานการเมือง โดยสนใจแนวทางการปฏิบัติที่เป็นสาระสำคัญจากนโยบายและวิธีการทำงานในอำนาจ หน้าที่ที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่ใช่ผู้บริหารพรรคในรูปแบบเดิม ที่จะต้องหล่อเลี้ยงบรรดาสมาชิกหรือ ส.ส.ในสังกัด
แต่ต้องยอมรับว่านักการ เมืองในปัจจุบัน ไม่ต้องการนักบริหารในรูปแบบใหม่ แต่ต้องการแบบเดิม โดยนักการเมืองต้องลงพื้นที่ เพื่อไปช่วยเหลือประชาชน ต้องนำเงิน สิ่งของไปช่วยเหลือ
ดังนั้น นักการเมืองในพรรค ก็ หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากพรรค แต่เนื่องจากเทคโนแครตไม่ตอบโจทย์การทำงานแบบเดิมได้ เพราะผู้นำพรรคไม่มีกระเป๋าเงินเพียงพอที่จะเอาไปใช้ในการหล่อเลี้ยง อาจทำให้สมาชิก บางฝ่ายเกิดความรู้สึกไม่พอใจ
นายสมชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการบริหารพรรค แล้วได้กลุ่มบุคคลที่เป็นนักการเมืองแบบเก่า ที่มีกระเป๋าเงินขนาดใหญ่ พร้อมที่จะเลี้ยง ส.ส.ในสังกัดอย่างไม่จำกัด และปัญหานี้จะนำไปสู่การหาช่องทางในการที่จะนำมาซึ่งเงินจำนวนมากที่จะมาใช้จ่ายภายในพรรค
“หากเป็นเช่นนี้จริงก็น่าเสียดาย และไม่ได้เป็นสิ่งที่ดี กับการเมืองไทย เพราะผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารพรรค ต้องมีแหล่งรายได้อื่นเข้ามาสนับสนุน ให้เกิดการทำงานภายในพรรค จึงน่ากังวลว่าอาจมีการใช้อำนาจจากตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองให้เป็นประโยชน์หรือไม่”
นายสมชัย กล่าวด้วยว่าสำหรับประชาชนคงไม่ได้รู้สึกในทางที่ดีกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพราะต้องการเห็นนักบริหารแบบมืออาชีพ ที่ยังอยู่ใน ตำแหน่งและทำงานการเมืองแบบใหม่ เป็นการเมืองที่ใช้เงินน้อย มีแนวทางชี้แจงกับประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนร่วมกัน ดีกว่าการนำเงินหรือ สิ่งของไปมอบให้