"บิ๊กตู่" อัด "ส.ส.ก้าวไกล" กลางสภาฯ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”

31 พ.ค. 2563 | 10:40 น.

นายกฯ อัด ส.ส.ก้าวไกล “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ปัดออก "พรก." เอื้อเจ้าสัว ลั่นพร้อมตั้งกมธ.ให้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้

วันที่ 31 พ.ค. 63 เมื่อเวลา 15.20 น. ที่รัฐสภา หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ลุกขึ้นกล่าวสรุป ก่อนที่จะมีการลงมติ พรก.ทั้ง 3 ฉบับ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้น นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม 

ระบุว่ารู้สึกว่า ปล่อยให้นายกฯ ใช้กิริยา วาจาเสียดสี รุนแรงในสภาฯ และตัวเองรู้สึกว่านายกฯเป็นนักการเมืองเหมือนกัน ซึ่งเราเป็นนักการเมืองเสมอกัน แต่คำชี้แจงของนายกฯ หลายๆคำด้วยน้ำเสียงและกิริยาทั้งหมด รู้สึกว่าเป็นทหารอยู่ในค่ายทหาร ฉะนั้นของให้ประธานสภาฯควบคุมการประชุมอย่าปล่อยให้นายกนกระทำกับผู้แทนฯเหมือนที่ผู้บังคับบัญชาทำกับพลทหารในค่ายทหาร

ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นตอบโต้ว่า ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ก็ฟังมาหลายคน จำได้ว่าเราเคยมีสุภาษิตหนึ่ง ซึ่งผมต้องระมัดระวังตรงนั้นให้ได้ คือคำว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ที่ผ่านมาไม่มีเลยหรือที่ผมพูดอย่างนี้ ที่ผมพูดแบบนี้ร้ายแรงมากเลยหรือผมไม่เข้าใจ ซึ่งท่านก็ได้ยินทุกคน ผมไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับท่านอยู่แล้ว แต่เป็นห่วงคนรุ่นต่อไปว่าเด็ก เยาวชนจะเป็นอย่างไรต่อไป ตนไม่ได้ไปพูดก้าวร้าวกับใคร พูดแต่เสียงดัง เน้นสาระ ถ้าท่านเป็นผมก็จะรู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง ผมไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกแล้ว

ด้าน ประธานสภาฯ ชี้แจงว่า ตามข้อบังคับที่ 93 ห้ามแสดงวาจาเสียดสีใส่ร้ายคนใด ซึ่งเท่าที่ฟังมาทั้งหมด ก็มีสมาชิกอภิปราย แต่ก็เกือบไม่มีทักท้วงกันเลย แต่กรณีนายกฯฟังอย่างยุติธรรม ที่นายกฯได้กล่าวไปถือว่าเบากล่าวที่พวกเราพูดถึงท่านเยอะเลย เพราฉะนั้นไม่มีประเด็นที่ไม่เหมาะสมหรือขัดข้อบังคับ ดังนั้นการประท้วงไม่มีผล

นายชวน แจ้งที่ประชุมว่า การอภิปรายทั้ง2 ฝ่าย และรัฐบาล ที่ตกลงใช้เวลา 48 ชั่วโมง ครม.และพรรคร่วมรัฐบาล 24 ชั่วโมง ฝ่ายค้าน 24 ชั่วโมง แต่ฝ่ายค้านใช้เวลาไป 22 ชั่วโมง 35 นาที 40 วินาที เหลืออีก 1ชั่วโมง24 นาที 20 วินาที ฝ่ายรัฐบาลใช้เวลาไป 20 ชั่วโมง 32 นาที 46 วินาที เหลือเวลา 3 ชั่งโมง  27 นาที 14 วินาที แต่ถือว่ากระบวนการทุกอย่างจบแล้ว ต่อไปเป็นการลงมติ

"บิ๊กตู่" อัด "ส.ส.ก้าวไกล" กลางสภาฯ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น พลเอกประยุทธ์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงต่อสภาระบุว่า มีการกล่าวว่าไปเอื้อประโยชน์อะไรต่างๆ ไม่เคยไปได้ประโยชน์อะไรกับใครจากเศรษฐีอะไรต่างๆ เขาไม่เคยเสนอเงินให้รัฐบาลสักบาท แต่ต้องการให้ดูแลลูกจ้างพนักงานไม่ให้ว่างงาน นั่นคือ สิ่งที่คาดหวัง หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ ก็ขอให้เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในเรื่องมาตรการชะลอภาระหนี้สินเดิม ทั้งเงินต้น ลดดอกเบี้ย ขยายเวลาการชำระหนี้ของประชาชน ผู้ประกอบการผ่านธนาคารต่างๆ ซึ่งธนาคารมี 2 ประเภทคือ ธนาคารรัฐกับธนาคารพาณิชย์ โดยอยู่ในกรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ตรงนี้รัฐบาลเข้าไปสั่งการอะไรเขาไม่ได้ทั้งสิ้น เงินทุกบาทในธนาคารพาณิชย์เป็นเงินของประชาชนที่ฝากไว้ทั้งสิ้น เราไปบังคับเขาไม่ได้ ต้องให้อำนาจบริหารจัดการตรงนั้นไป แต่จะทำความร่วมมือกันอย่างไรเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินเพิ่มเติมของประชาชนและผู้ประกอบการ ต้องสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉิน ที่ผ่านมาอาจจะมีการเข้าไม่ถึง เราก็ต้องเห็นใจการคัดกรองเหล่านี้ ต้องคัดกรองคนที่มีความพร้อมก่อน ส่วนที่เหลือกำลังจัดกองทุนขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มีหนี้เสีย หรือไม่มีศักยภาพ

“เงินทุกเงินมีเจ้าของทั้งสิ้น ถ้าให้ไปแล้วไม่ได้กลับมาเลย ล้มละลายแล้วใครจะรับผิดชอบ ถ้าพูดแล้วไม่รับผิดชอบมันก็ได้ แต่ผมพูดแล้วต้องรับผิดชอบ มันจึงไม่ได้ ต้องทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ไม่ให้มีปัญหาทางด้านกฎหมาย อยากให้ทุกคน ตอนนี้กำลังดูว่าเงินก้อนที่มีอยู่จะทำอย่างไร เอสเอ็มอีที่เข้าถึงไม่ได้ให้เข้าได้มากขึ้น ไม่ได้เอื้อประโยชน์รายใหญ่รายเล็ก อย่าไปคิดแบบนั้น ถ้าคิดแบบนั้นก็บริหารไม่ได้”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในการที่เราเตรียมมาตรการฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้ถ้ามองดูแล้วเหมือนจะใหญ่โตมโหฬาร หอมหวาน ผมไม่เคยสบายใจ ไม่ว่าจะเงินเท่าไหร่ก็ตาม เพราะมันมีปัญหาแน่นอนในเรื่องการบริหารจัดการ อย่างที่ท่านเป็นห่วง ผมก็ห่วงยิ่งกว่าท่าน เพราะผม ข้าราชการ พนักงาน ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จึงต้องดูแลให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนสบายใจ ช่วยกันดูแลติดตาม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงเราจำเป็นต้องรักษาเครื่องยนต์เหล่านี้ อย่างน้อยก็เติมน้ำมันไปส่วนหนึ่งก่อน ถ้าจะเติมน้ำมันเต็มถังแต่ยังเติมไม่ได้ ก็เติมบางส่วนไปก่อนให้มันเดินไปได้ ให้กิจการมันดีขึ้น ตลาดต่างประเทศมีการเคลื่อนไหว มีการใช้จ่ายเงิน มีรายได้ดีขึ้น ตลาดเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราไม่ช่วยตรงนี้ เครื่องยนต์ดับไปตอนนี้ ไม่ให้อะไรเลย บอกเอาไปให้คนรวยหมด แล้วผมถามว่ามันจะเหลืออะไรในประเทศไทย

นายกฯ กล่าวว่า เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่สมาชิกเสนอให้มีการติดตามตรวจสอบการใช้เงินนั้น ผมยินดีให้มีการตรวจสอบทุกประการ หลายคนหาว่าผมจะไม่ให้ตรวจสอบ แต่ผมถือว่าเงินกู้ดังกล่าวคือเงินแผ่นดิน ต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายทุกประการ ไปดูแล้วกันที่มีการเสนอแผนงานมาจากข้างล่างว่ามีการทุจริตหรือไม่ ซึ่งก็ยังไม่ทุจริตเลย ไปดูว่าเขาเสนอมาถูกต้องหรือไม่ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนละเอียดมาตั้งแต่ต้นไม่อย่างนั้นเสนอขึ้นมาข้างบนไม่ได้ ต้องมีการคัดกรองขึ้นมา กว่าจะมาถึงคณะกรรมการคัดกรองมีหลายขั้นตอน จะได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย และไม่ได้มีเฉพาะข้าราชการ แต่ยังมีที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ และหน่วยงานในการตรวจสอบเข้ามาร่วมตรงนี้ด้วย ยืนยันว่าต้องมีการตรวจสอบทุกขั้นตอน มีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินกู้เช่นเดียวกับการเบิกจ่ายงบประมาณปกติ องค์อิสระตามรัฐธรรมนูญสามารถตรวจสอบการใช้เงินกู้ดังกล่าวได้เช่นเดียวกับการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดิน ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยจัดให้มีเว็บไซต์สำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ติดตามการดำเนินการโครงการต่างๆ อะไรที่ยังไม่เกิดก็อย่าไปอ้างของเดิมเดี๋ยวมันจะไปกระทบกับใครบางคนด้วย ผมขอแค่นี้ ไม่อยากพูดอย่างอื่น

“เรื่องการจะตั้ง กมธ.วิสามัญเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องพูดคุยกันต่อไป ผมไม่ได้ไปคัดค้านอะไรสักอย่าง ผมยังตอบไม่ได้ตอนนั้นเพราะมันยังไม่ได้อยู่ในขั้นตอนตอนนั้น ไม่ใช่ไปพูดสิ่งที่มันยังไม่ได้มาถึง ก็เป็นเรื่องของสภาฯ สมาชิกพิจารณากัน”

นายกฯ กล่าวว่า การจะทำอะไรให้สำเร็จหรือมีเกียรติ มีอำนาจ ไม่ใช่ด้วยตัวเอง แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นยกย่อง เขาเชื่อมั่น เขาให้เกียรติ ผมไม่เคยชื่นชมตัวเองว่าเก่งว่าแก้ปัญหาโควิด-19 ได้ ไม่เคยพูด ไม่เคยพูดจริงๆ มันเกิดจากความร่วมมือของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งทหาร พลเรือน ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และสาธารณสุข ร่วมมือกัน ก็มีไม่ร่วมมืออยู่บ้าง ส่วนรัฐบาลทำหน้าที่อำนวยการ อำนวยความสะดวก จัดหาสิ่งของ เบี้ยเลี้ยง สิ่งตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ปฏิบัติงาน คำชื่นชมของนานาชาติที่เขาให้กับเรา ผมไม่เคยไปคุยโม้โอ้อวดใคร แต่เพราะประเทศต่างๆ เขาเห็นสถานการณ์โควิด-19 เราดีขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนที่บอกว่างบประมาณด้านสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาทที่บอกว่าน้อยเกินไป มันไม่เคยมีอย่างนี้อยู่แล้ว มันไม่เคยมีการอนุมัติเพิ่มการบรรจุข้าราชการสาธารณสุขอยู่แล้ว ทุกกระทรวงไม่เคยได้ แต่ถ้าอนุมัติไปทั้งหมดทีเดียว ปัญหางบประมาณตามมาทั้งเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ เราต้องค่อยๆ ทยอยไป นี่ถือว่าให้ประโยชน์ เพราะถือว่าให้เกียรติบุคลากรด้านสาธารณสุข เพราะถือว่ามีผลงานปรากฎ จะได้ตอบประชาชนและหน่วยงานอื่นได้

นายกฯ กล่าวว่า ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่น ไว้ใจผมและรัฐบาล เหมือนช่วงที่ผ่านมาแม้จะมีใครไม่ชอบก็ตาม แต่ขอให้เราก้าวผ่านไปด้วยกัน ผมในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารขอยืนยันว่าจะบริหาราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้าน เหมาะสม โดยการสนับสนุนจากคณะกรรมการและที่ปรึกษาด้านต่างๆ ที่ผมตั้งขึ้น

"บิ๊กตู่" อัด "ส.ส.ก้าวไกล" กลางสภาฯ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”

ต่อจากนั้นเวลา 16.05 น. น. พล.อ.ประยุทธ์ ภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ ว่า การประชุมถือว่าเรียบร้อยดี แต่มีหลายอย่างที่จะนำไปพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น ในส่วนที่เป็นกังวลก็ได้ชี้แจงไปบ้างแล้วและรองนายกรัฐมนตรีก็ชี้แจงได้ดี วันนี้เราต้องปรับรูปแบบการฟัง การพูด และการอภิปรายบ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะสับสนอลม่านประชาชนฟังแล้วไม่เข้าใจ และยิ่งทำให้การเดินหน้าไปได้ช้า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมองว่างบฯที่กู้มาแล้ว กู้มาด้วยเหตุผลความจำเป็นอะไร และมีมาตรการในการใช้อย่างไร ที่เหลือจากนี้คือการคัดกรองโครงการ และการจัดทำโครงการที่ผ่านการคัดกรองมาจากข้างล่างระดับหนึ่งแล้ว และนำเข้ากนจ. ถ้าใครไม่ไปก้าวล่วง เมื่อประชาชนเสนออะไรมาก็ต้องตรวจสอบว่ามีความเป็นไปได้อย่างไร และจะตรวจสอบจากงานที่ปรากฎและร้องทุกข์กล่าวโทษไป เหมือนการจัดซื้ออุปกรณ์ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องผิดกฎหมาย ไปสั่งให้กฎหมายทำงานไม่ได้ เพราะกฎหมายต้องทำงานด้วยตัวมันเอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายกฯ ระบุว่า ไม่ขัดข้องข้อเสนอตั้งคณะกรรมการวิสามัญตรวจสอบการใช้เงินกู้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องการพิจารณาในระยะต่อไป จะมาถามอะไรตอนนี้ ซึ่งตนก็บอกว่าไม่ขัดข้องหากพิจารณากันแล้วจากในงานของสภาฯ ถ้าสามารถตั้งได้ก็ตั้งได้ แต่ในพรรคก็ต้องร่วมกันหารือว่าจะตั้งหรือไม่ตั้งอย่างไร ไม่ได้ขัดข้องและไม่ได้คัดค้านอะไรทั้งสิ้น ถ้าทำให้ดีขึ้นและได้รับความไว้วางใจมากขึ้น แต่ต้องไม่ทำให้ชักช้าจนไม่ทันการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความล่าช้าและจะไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน เพราะมีเงินแต่ออกไปทีหลัง ก็เหมือนเขาหมดลมไปแล้ว จึงต้องให้ตอนนี้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) จะตั้งคณะกรรมการติดตามตรวจสอบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "เขาต้องทำอยู่แล้ว หน่วยงานต้องตั้งหลักของเขาอยู่แล้ว และเรื่องนี้เป็นวาระสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่กู้เงินมาทำงานแบบนี้ แต่ก่อนเป็นการกู้ทางโน้นทางนี้ไปลงทุนอะไรต่างๆ เช่นสมัยที่เกิดต้มยำกุ้งก็คนละแบบ เสถียรภาพทางการเงินก็คนละอย่าง และประเทศไทยวันนี้สถานะการเงินเราเข้มแข็งมาก จึงคลายกังวลในเรื่องนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์จะยาวไปแค่ไหน และวันหน้าต้องหาเงินเพิ่มหรือเปล่ายังไม่รู้ อย่างน้อยเงินตรงนี้ก็ต่อลมหายใจให้ประชาชน ให้เดินหน้าต่อไปได้ ลูกจ้างพนักงานไม่ตกงาน ถ้าตกงานมากรัฐบาลจะดูแลเดือนละ 5,000 จะพอไหมแต่ทำให้เขากลับมาทำมาหากินได้เหมือนเดิมไม่ดีกว่าเหรอ สิ่งที่แตกต่างกันคือตรงนี้"

นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ที่พูดกันในสภาฯ ตนรับได้หมด และไม่ได้โมโหอะไรเลย แต่การชี้แจงอาจเสียงดังไปบ้าง เพราะต้องการจะเน้น แต่ไม่ต้องการทะเลาะกับใครทั้งสิ้น เราทะเลาะกันมามากแล้ว ย้อนกลับไปกลับมาก็ไม่จบวันนี้ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต้องช่วยกัน เดินไปข้างหน้าซ่งเข้าใจว่าทุกคนหวังดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองทั้งนั้น แต่วิธีการคิดยังไม่ตรงกันและอาจมีความรู้สึกภายในว่าคนละพรรคกันรัฐบาลกับฝ่ายค้าน หน้าที่ของฝ่ายค้านก็ต้องค้านแต่บางทีอาจร่วมมือกันก็ได้ ในการทำประโยชน์ ให้ประเทศชาติและประชาชน เป็นแนวใหม่แบบที่ทุกคนต้องการ ทั้งเศรษฐกิจใหม่และชีวิตวิถีใหม่ ต้องร่วมมือกันสู้ เหมือนกับการเลี้ยงลูกหลายคนก็มีความจำเป็นที่แตกต่างกัน ทั้งลูกคนเล็ก คนโต ก็มีความต้องการคนละอย่าง พ่อแม่ก็ต้องหาเงินคนละอย่างมาจุนเจือ ส่วนเงินที่เข้าไปถึงก่อนเพราะมีความพร้อมในการกู้และสร้างงานต่อได้ทันที ส่วนกลุ่มที่จะกลายเป็นหนี้เสียก็ต้องตั้งเงินไว้ก้อนหนึ่งให้เขาเข้าถึง เพราะส่วนนี้ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน จึงคล้ายกับแผนฟื้นฟูบริษัทที่ต้องมีการปรับปรุง