“หญิงหน่อย"ติวเข้ม 50 ส.ส.  ซักฟอก“3 พรก.โควิด” 

23 พ.ค. 2563 | 06:19 น.

"หญิงหน่อย"ติวเข้มส.ส.เพื่อไทย จัด 50 ขุนพล ถล่ม “3 พรก.โควิด” จี้ยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน ปลดล็อค เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ชี้“เยียวยา” ยังไม่ทั่วถึง

ก่อนที่สภาผู้แทนราษฏรจะเปิดอภิปราย พรก.3 ฉบับที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระหว่างวันที่ 27-31 พ.ค.นี้ พรรคเพื่อไทย ได้จัดประชุมติวเข้ม 50 ส.ส.เพื่อเตรียมตัวอภิปรายในสภาฯ

วันที่ 23 พ.ค.63 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย(พท.) เรียกประชุม ส.ส.หารือร่วมกัน ผ่านระบบซูม เนื่องจากต้องเว้นระยะห่างในช่วงการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เพื่อเตรียมการอภิปราย พระราชกำหนด  3 ฉบับ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 

 “หญิงหน่อย"ติวเข้ม 50 ส.ส.  ซักฟอก“3 พรก.โควิด” 

โดยมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคประกอบด้วย นายโภคินพลกุล นายชัยเกษม นิติสิริ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายวัฒนา เมืองสุข นายนพดล ปัทมะ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รวมทั้ง นายสุชาติ ธาดาธำรงค์เวช เข้าร่วมอย่างพร้อมเพียง ในการให้คำแนะนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและข้อกฎหมาย 

สำหรับเนื้อในการประชุมสรุปเบื้องต้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่า มาตรการที่รัฐใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้แก่ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การล็อคดาวน์ประเทศ การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการประกาศเคอร์ฟิว ไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ 


ดังนั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลหมดความจำเป็นที่จะคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่อไป ในทางกลับกันรัฐบาลควรปลดล็อคให้ความสำคัญกับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะเสียหายมากที่สุดในรอบ 100 ปี โดยประเมินว่าจีดีพีอาจจะติดลบถึงร้อยละ 7-9 ส่งผลคนตกงานมากกว่า 7-10 ล้านคน 

 “หญิงหน่อย"ติวเข้ม 50 ส.ส.  ซักฟอก“3 พรก.โควิด” 
สำหรับมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด พรรคเพื่อไทยเห็นว่า รัฐบาลยัง “เยียวยา” ไม่ทั่วถึง ดำเนินการด้วยความล่าช้า สร้างกติกากฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากกับประชาชน ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการเยียวยา และส่อไปในทางทุจริตเอื้อพวกพ้อง

รวมทั้งไม่มียุทธศาสตร์ที่ทำให้การ “เยียวยา” เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้จากข่าวทำให้ประชาชนต้องฆ่าตัวตาย และเงินเยียวยาที่ประชาชนจะต้องเป็นผู้ชำระหนี้ไหลไปสู่กระเป๋าของมหาเศรษฐีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขียนจดหมายไปขอให้ช่วยรัฐบาล

นอกจากนี้ในส่วนการพยุงรักษาเศรษฐกิจไม่ให้ล่มสลาย พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลมิได้มีมาตรการที่จะดูแลรักษาหรือช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเลิกกิจการ หรือบางรายต้องย้ายฐานเศรษฐกิจไปลงทุนในประเทศอื่น ส่งผลทำให้เกิดการเลิกจ้างงาน ซึ่งจะทำให้คนตกงานอย่างมหาศาล ปัญหาอาชญากรรมจะตามมา 

พระราชกำหนด 2 ฉบับได้แก่ พระราชกำหนดช่วยเหลือเอสเอ็มอี และ พระราชกำหนดรักษาเสถียรภาพทางการเงิน หรือที่เรียกว่า พระราชกำหนดอุ้มหุ้นกู้เศรษฐี ที่กระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปช่วยใช้หนี้จากเงินภาษีของประชาชนไม่ตอบโจทย์ของประเทศและไม่สามารถพยุงรักษาเศรษฐกิจไว้ได้ 

ทางพรรคเพื่อไทยเห็นว่าสถานการณ์โควิด-19 แม้จะเป็นวิกฤตืทางเศรษฐกิจของโลก แต่จะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย การท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์และการสาธารณสุขการลงทุน และอสังหาริมทรัพย์ แต่รัฐบาลจะต้องรักษาฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้ได้ นั่นคือการบริโภคภายใน

 “หญิงหน่อย"ติวเข้ม 50 ส.ส.  ซักฟอก“3 พรก.โควิด” 
ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งฟื้นฟูด้วยการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในเพื่อเป็นฐานค้ำยันเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้ล่มสลาย เพื่อรอให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวอื่นได้ทำงานหลังโควิด ได้แก่การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน แต่ปัญหาคือ คนไทยขาดกำลังซื้อมาก่อนเกิดโควิดแล้ว 

"โจทย์ของพรรคเพื่อไทยคือรัฐบาลจะสร้างกำลังซื้อให้ประชาชนได้อย่างไร ในด้านผู้ขายได้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย หรือที่เรียกว่าเอสเอ็มอี ที่ได้รับความเสียหายมาก่อนเกิดโควิด-19 เช่นกัน แม้รัฐบาลจะออกพระราชกำหนด การให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จัดหาสินเชื่อรวม 500,000 บาทให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี

แต่ก็ไม่ได้มีมาตรการใดที่จะทำให้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินจะสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ อันจะทำให้ไม่เกิดการกระจายรายได้ เพราะเงินกู้ที่ประชาชนต้องใช้หนี้จะไหลไปสู่ธุรกิจของมหาเศรษฐีบางรายที่ค้ำจุนรัฐบาลอยู่ ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลจะแก้อย่างไร"คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว