แถลงการณ์สำนักนายกฯ สู้มหันตภัยโควิด-19

25 มี.ค. 2563 | 10:54 น.

แถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพ.ร.ก.การบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

ตามที่นายกรัฐมนตรีด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มี.ค.63 และตามคำแนะนำของผู้บริหารและนักวิชาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข  อาศัยความในมาตรา 5 แห่ง พรก.ฉุกเฉินฯ ประ กาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.-30 เม.ย. 63 นั้น การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว เป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่แล้วตั้งแต่ปี 48  เนื่องจากขณะนี้เกิดปัญหาแพร่ระบาด โคโรนา 2019 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นใหม่แต่แพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยได้รับผลกระทบเช่นกัน ในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาที่ได้ผล  รัฐบาลใช้มาตรการป้องกัน สกัดกั้น ชะลอ และสร้างการรับรู้การเข้าใจแก่ประชาชน มาเป็นลำดับ และประเมินสถานการณ์เป็นรายวันตามความคืบหน้าของสถานการณ์ ข้อมูลข่าวสารและคำแนะนำทางการแพทย์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน ด้านสังคม ความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ การครองชีพ ทรัพยากรของรัฐด้านาธารณสุข และป้องกันการตื่นตะหนกเกินกว่าเหตุ  

บัดนี้ ทุกฝ่ายเห็นว่าสถานการณ์ ควรยกระดับขึ้นสู่การบังคับใช้มาตรการขั้นสูงสุดได้แล้ว เพื่อว่ารัฐจะสามารถนำมาตรการอื่นๆ มาบังคับใช้เพิ่มขึ้นจากเดิม ส่วนจะเลือกใช้มาตรการใดก่อนหลัง จะมีการประกาศและแจ้งให้ทราบต่อไป  แต่ในเบื้องต้นจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเสียก่อน  ซึ่งได้ประกาศแล้วในวันนี้

ผลจากการประกาศดังกล่าวคือ รัฐบาลจะมีช่องทางตามกฎหมายเข้าควบคุม หรือบริหารสถานการณ์ได้ เช่น การโอนอำนาจบางประการของรัฐมนตรี ตามกฎหมายบางฉบับ มาเป็นของนายกฯเท่าที่จำเป็น และเป็นการชั่วคราว เพื่อความรวดเร็วและบูรณาการ จะมีการออกข้อกำหนด ข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติบางอย่าง เช่น  ห้ามเข้าออกสถานที่บางแห่ง  ห้ามหรือจำกัดการเข้าออกราชอาณาจักร และการเคลื่อนย้ายประชาชนจำนวนมากๆข้ามเขตพื้นที่ ควบคุมการใช้ยานพาหนะ เส้นทางจราจร การควบคุมสินค้าและเวชภัณฑ์ มาตรการเหล่านี้ แม้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้ว่สถานการณ์จากตัวเลขจะมีจำนวนผู้ได้รับเชื้อและการเสียชีวิตในประเทศจนถึงปัจจุบันจะยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่หากยังคงมีการเคลื่อนย้ายหรือเดินทาง การรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน การติดต่อสัมผัสหรือใกล้ชิด การขาดความรู้ความเข้าใจ ความรับผิดชอบ ตลอดจนการไม่ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามมาตรการป้องกันโรคตามหลักสากล

 ประกอบกับกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาเทศกาล และการเปลี่ยนฤดูกาลตามธรรมชาติ เชื้อโรคโควิด-19 ย่อมมีโอกาสแพร่ไปได้เร็วและเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น จนเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพาะกระทบกับประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์ และกระทบต่อการใช้ทรัพยากร ด้านการสาธารณสุขของประเทศ เช่น แพทย์ พยาบาล โงพยาบาล ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ จนอาจขาดแคลนเข้าวันหนึ่ง อันจะนำมาซึ่งความสูญเสียรุนแรงสุดจะประมาณได้ ดังที่ปรากฏในบางประเทศในขณะนี้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเสียแต่บัดนี้ เพื่อความไม่ประมาทอันจะเป็นการ สร้างวามมั่นใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และคลายความวิตกกังวลของประชาชน

การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะช่วงเวลานี้ โดยรัฐบาลจะพิจารณาเลือกใช้ เฉพาะมาตรการเท่าที่จำเป็น ตามคำแนะนำทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อป้องกันและระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค โดยถือว่าการดูแลรักษาสุขภาพ อนามัยและชีวิตของประชาชน  การจัดสรรทรัพยากร เวชภัณฑ์  และการให้บริการทางการแพทย์ให้ทั่วถึง เพียงพอแก่ประชาชนชาวไทย มีความสำคัญเร่งด่วนเป็นลำดับแรก ซึ่งแน่นอนว่าความสะดวกสบายของประชาชนในระหว่างนี้ ย่อมลดน้อยลงกว่าเดิม เพราะทุกคนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ประชาชนยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่เกิดภาวะขาดแคลน  ส่วนมาตรการ การช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อนจะได้ทยอยดำเนินการต่อไป

ในยามนี้เรากำลังต่อสู้กับมหันตภัยที่มองไม่เห็นตัว คือเชื้อโรคและอาจจู่โจมมาถึงเราทุกคน ทุกพื้นที่ ได้ทุกเมื่อ จึงจำเป็นต้องคบคุมสถานการณ์ และบังคับใช้มาตรการขั้นสูงสุดเพื่อความอยู่รอดร่วมกัน ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปในระยะหนึ่งตามที่กฎหมายให้อำนาจรัฐบาล ประกาศได้เป็นคราวๆ ไป คราวละไม่เกิน 3 เดือน แต่อาจประกาศขยายเวลาต่อได้อีกตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์ อันที่จริงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้กระทำมาหลายปีแล้ว ขณะนี้ในบางพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่อาศัยเหตุแห่งการประกาศใช้ที่แตกต่างกันไปจากในครั้งนี้

รัฐบาลขอให้ประชาชนวางใจในระบบการสาธารณสุขของประเทศ และโปรดดูแลรักษาสุขภาพตนเอง เพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้ ขณะเดียวกันโปรดให้ความร่วมมือกับทางการในการปฏิบัติตามมาตรการและคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด ตลอดจนการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ทางช่องทางที่เป็นทางการ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ที่ระบุแหล่งข่าวอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ไม่เชื่อข่าวลือหรือข่าวที่ไม่ปรากฏแหล่งที่มา หากมีข้อสงสัยให้สอบถามได้ที่ ระทรวงสาธารณสุข หรือศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หมายเลข 1111

ขณะนี้การอยู่กับบ้าน ตามคำกล่าวที่ว่า อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ การไม่รวมกลุ่มกับผู้คนจำนวนมาก การใช้มาตรการป้องกันเพื่อตนเอง และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การใช้หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ การหมั่นล้างมือ การไม่สัมผัสหรือรับเชื้อที่มากับฝอยละอองน้ำลาย การเว้นระยะสัมผัสกับผู้อื่น การไปพบแพทย์ในกรณีต้องสงสัย เป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วว่า สามารถลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด เท่าที่เราจะป้องกันตนเอง คนที่ท่านรักและประเทศชาติได้  เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง รัฐบาลจะได้แถลงให้ทราบเป็นระยะๆในโอกาสต่อไป