“กองทัพอากาศ”สั่งกำลังพล-ครอบครัวงดไปปท.เสี่ยงไวรัส

26 ก.พ. 2563 | 07:26 น.

ผบ.ทอ.สั่งกำลังพล-ครอบครัวดูแลสุขภาพ-งดไปประเทศเสี่ยงไวรัสโคโรนา

 
วันนี้(26 ก.พ.63) พล.อ.ท.พงษ์ศักดิ์  เสมาชัย รองเสนาธิการทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ(ทอ.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 : COVID – 19) เป็นโรคติดต่ออันตราย อีกทั้งมีการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ดอนเมือง ซึ่งผู้ป่วยดังกล่าวมีประวัติเดินทางไปกลุ่มประเทศเสี่ยง และขณะนี้ได้ส่งต่อเข้ารักษาต่อ ณ โรงพยาบาลของรัฐตามขั้นตอนของกรมควบคุมโรค เรียบร้อยแล้ว


ภายหลังการดำเนินการกับผู้ป่วยดังกล่าว พบว่ามีกลุ่มคนที่ร่วมคณะกับผู้ป่วยและอาจเข้ามาติดต่อปฏิสัมพันธ์กับข้าราชการและครอบครัวทหารอากาศได้ ผู้บัญชาการทหารอากาศ จึงสั่งการให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงแจ้งเตือนและเน้นย้ำกำลังพลและครอบครัว ปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย และรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือบ่อยครั้ง และหากพบว่าตนเองมีอาการป่วยที่จะเป็นกลุ่มเสี่ยงให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจทันที พร้อมทั้งเปิดเผยประวัติการเดินทางหรือประวัติการติดต่อกับบุคคลอื่นๆ



 

 

สำหรับ ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ของกองทัพอากาศที่จะลาหรือเดินทางไปราชการ หรือแวะผ่านประเทศหรือเขตปกครองที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค COVID-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด ให้งดหรือเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน 


กรณีที่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอย่างยิ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางได้ ให้แจ้งเหตุผลหรือความจำเป็นดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรงเป็นรายกรณี และเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ให้เข้ารับการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังเชื้อโรค COVID – 19 ณ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ หรือสถานพยาบาลอื่นที่มีมาตรฐานการตรวจคัดกรอง รวมถึงรายงานผลการตรวจดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรง หากตรวจพบหรือมีภาวะเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรค COVID-19 ให้ขออนุญาตลาเพื่อเข้ารับการรักษา หรือเพื่อเฝ้าดูอาการเป็นเวลา 14 วัน 


 

 

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการเชิงป้องกัน เชื้อ COVID-19 ในพื้นที่กองทัพอากาศ อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคจะมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือจากข้าราชการ ครอบครัวและประชาชน ทุกคนในการดูแลตนเอง และรับผิดชอบต่อสังคมขณะเมื่อเข้ารับการรักษาโดยต้องไม่ปิดบังประวัติการเดินทางหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด