"เชาว์" หนุนคำ"ชวน" เสียบบัตรแทนกัน "ผิดแน่ ๆ " ทุกกรณี

25 ม.ค. 2563 | 07:20 น.

"เชาว์" หนุนคำ"ชวน" เสียบบัตรแทนกัน "ผิดแน่ ๆ " ทุกกรณี ชู "นิพิฏฐ์" ทำถูก ล่าผีเสียบบัตรแทนกัน ทำสภาตกต่ำ จวก ฝ่ายรัฐ พลิกลิ้น แถ เปลี่ยนหลักการปกป้องพวกตัวเอง  วอน สังคมยืนหยัด รักษาหลักการ หวั่น เปลี่ยนหลักการเพื่อพวกตัวเอง สร้างขัดแย้งเพิ่ม

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง "เสียบบัตรคือหน้าที่ผู้แทน คนที่ไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้  " มีเนื้อหาว่า กรณีส.ส.เสียบบัตรแทนกันในสภาที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง มีพวกที่ยึดหลักกูกำลังแถเพื่อพวกตัวเอง แต่เชื่อว่าจะแถอย่างไรก็ไปไม่รอด สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้แยกออกได้ เป็น 3 กรณี ดังนี้ 

กรณีแรก เป็นกรณีที่คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผยว่า มีผีในสภาตัวไม่อยู่แต่กลับถอดวิญญาณมาร่วมลงคะแนนในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วันที่ 11 มกราคม ผีที่คุณนิพิฏฐ์พูดถึงก็คือนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง ส่วนอีกคนหนึ่งคือ นางนาที รัชกิจประการ เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ และเป็นบุคคลสำคัญของพรรค ที่ถูกวางตัวให้เป็นแม่ทัพภาคใต้ และยังมีคดีแจ้งทรัพย์สินเท็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาชั้นอุทธรณ์ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองด้วย
 

กรณีที่สอง การลงคะแนนในวันที่ 8 มกราคม ของนายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย มีคลิปภาพจากช่อง 7 HD ว่านายสมบูรณ์ ถือบัตร 2 ใบ แม้จะไม่มีภาพต่อเนื่องว่ามีการเสียบบัตรทั้ง 2 ใบหรือไม่ แต่ภาพที่เห็นชัดเจนว่า นายสมบูรณ์มีบัตร 2 ใบ พร้อมลงคะแนนได้ทั้ง 2 บัตร ขัดหลักการที่ส.ส.1 คนมี 1 เสียงเท่านั้น

กรณีที่สาม การลงคะแนนในวันที่ 10 มกราคม มีคลิปภาพจากช่อง 7 HD เช่นเดียวกันว่า นางสาวภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการพรรค พลังประชารัฐ ใช้บัตร 2 ใบเสียบบัตร 2 ครั้ง ซึ่งภายหลังให้เหตุผลว่าเป็นการ ช่วยนายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเดียวกัน พร้อมกับมีการประดิษฐ์วาทกรรมว่า ไม่ใช่การเสียบบัตรแทนกัน แต่เป็นการช่วยเพื่อนเสียบบัตร 

สภาพการณ์ทั้ง 3 ปัญหา มีลิ้วล้อรัฐบาลออกมาปกป้องเล่นคำเอาสีข้างเข้าแถช่วยเหลือส.ส.เหล่านี้ ทำให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลักการเปลี่ยนได้ เพื่อพวกตัวเอง อย่างน่าสังเวชใจยิ่ง

"ผมคิดว่าสังคมต้องไม่โอนอ่อนผ่อนตามเพราะความเป็นพวก แต่ต้องยึดหลักให้มั่น ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 กรณีร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.เป็นโมฆะ และ คำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 ที่ให้ร่างกฎหมายเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทเป็นโมฆะ"

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ร่างกฎหมาย 2 ฉบับนี้ตกไป ก็คือพฤติกรรมการเสียบบัตรแทนกันที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า 

การใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทนสรายอื่นเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกรัฐสภา ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือการครอบงำใดๆและต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ขัดต่อหลักความซื่อสัตย์ สุจริตที่ ส.ส.ปฏิญาณตนไว้ และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 126 วรรค 3 (ในปัจจุบันคือมาตรา 120) ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนมีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมพิจารณานั้นเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย เมื่อกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงถือว่ามติของสภาผู้แทนราษฎรในกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ในการประชุมสภา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา มีส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ถามท่านประธานสภา ว่า ถ้าไม่สะดวกเสียบบัตรแล้วให้เพื่อนเสียบแทนทำได้หรือไม่ ซึ่งท่านประธานชวน ตอบแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า "ผิดแน่ ๆ" ซึ่งผมเห็นด้วยกับท่านประธานชวน ว่าการเสียบบัตรแทนกันไม่สามารถทำได้ในทุกกรณี

ปัญหาในขณะนี้จึงรับฟังยุติว่ามีการลงคะแนนแทนกันอย่างแน่นอน แม้ตัวละครจะเปลี่ยนไป ก็ไม่ได้มีผลทำให้หลักการนี้เปลี่ยนแปลงไปด้วย  หลักการต้องคงอยู่ ไม่ว่าตัวละครจะเปลี่ยนหรือไม่ จึงจะถือเป็นการบังคับใช้กฎหมายและใช้ดุลพินิจตามหลักนิติธรรมอย่างแท้จริง

ในฐานะคนไทยที่มีความเป็นห่วงบ้านเมือง ผมก็ไม่ต้องการเห็นเศรษฐกิจ สะดุดเพราะการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า แต่จะนำเรื่องนี้มาอ้างเพื่อเอาตัวรอดจากการกระทำผิดกฎหมายไม่ได้ ที่สำคัญสังคมไทยควรขอบคุณคุณนิพิฏฐ์ ที่เปิดข้อมูลเรื่องนี้ จนทำให้ได้เห็น ความตกต่ำด้านจริยธรรมของส.ส.บางคน สิ่งที่ส.ส.หรือลิ้วล้อรัฐบาลควรทำจึงไม่ใช่หันมาชี้นิ้วใส่คุณนิพิฏฐ์ว่า ทำให้รัฐบาลยุ่งยาก แต่ต้องกลับไปทบทวนปรับปรุงพฤติกรรมตัวเองให้สมกับการเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยต่างหาก อย่าดันทุรังเปลี่ยนหลักการเพื่อปกป้องพวกตัวเอง เพราะนอกจากทำให้สังคมเสื่อมทรามแล้วยังจะกลายเป็นการเติมเชื้อแห่งความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีกด้วย