ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

24 ม.ค. 2563 | 05:57 น.

“ฐานเศรษฐกิจ” รวบรวมอันดับคอร์รัปชันของไทยในรอบ 24 ปี ตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน พบทุกรัฐบาลคะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของเกณฑ์การสำรวจ

 
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 23 ม.ค. มีประกาศผล CPI ค่าดัชนีรับรู้การทุจริตประจำปี 2019 หรือ 2562 โดยองค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ที่ทำการจัดอันดับประเทศที่มีค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตเป็นประจำทุกปีพบว่า ประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 101 จากจำนวนทั้งหมด 180 ประเทศ และได้ค่าเฉลี่ยดัชนีที่ 36 จากคะแนนเต็ม 100 ( “คอร์รัปชัน” ไทยพุ่ง อันดับ 101 ของโลก )

“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบอันดับคอร์รัปชันของไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2538 – 2561 พบตัวเลขที่น่าสนใจซึ่งยังเป็นช่วงของการให้คะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งคะแนนกึ่งหนึ่งคือ 5 คะแนน 

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

นายบรรหาร ศิลปอาชา

 

ผลการจัดอันดับช่วงที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้อันดับที่ 34  ได้ 2.79 คะแนน (สำรวจ 41 ประเทศ) และปี 2539 อันดับที่ 37 ได้ 3.33 คะแนน (จาก 54 ประเทศ)  ส่วนปี 2540 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้อันดับที่ 39  ได้ 3.06 คะแนน (สำรวจจาก 52 ประเทศ) 

 

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

 

นายชวน หลีกภัย ปี 2541 อันดับที่ 61 ได้ 3.00 คะแนน (จาก 85 ประเทศ) ปี 2542 อันดับที่ 66 ได้ 3.20 คะแนน (จาก 98 ประเทศ) ปี 2543 อันดับที่ 60 ได้ 3.20 คะแนน (จาก 90 ประเทศ)  และปี 2544 อันดับที่ 61  ได้3.20 คะแนน (จาก 91 ประเทศ)

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

นายชวน หลีกภัย

 

ยุคของนายทักษิณ ชินวัตร ปี 2545 ได้อันดับที่ 64 ได้ 3.20 คะแนน (จาก 102 ประเทศ) ปี 2546 อันดับที่ 70 ได้ 3.20 คะแนน (จาก 133 ประเทศ)  ปี 2547 อันดับที่ 64 ได้ 3.60 คะแนน  (จาก 146 ประเทศ)  ปี 2548 อันดับที่ 59 ได้ 3.80 คะแนน ( จาก 159 ประเทศ) และปี 2549 อันดับที่ 63 ได้ 3.60 คะแนน  (จาก 163 ประเทศ) 

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

นายทักษิณ ชินวัตร

 

ยุคของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2550 อันดับที่ 84 ได้ 3.30 คะแนน (จาก 179 ประเทศ) ปี 2551 อันดับ 80 ได้ 3.50 คะแนน (จาก 180 ประเทศ)  ยุคของนายสมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องมาจนถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์  ช่วงปี 2552 อันดับที่ 84 ได้ 3.40 คะแนน (จาก 180 ประเทศ)  รัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2553 อันดับที่ 78  ได้ 3.50 คะแนน (จาก 178 ประเทศ) และปี 2554 อันดับที่ 80 ได้ 3.40 คะแนน ( จาก 183 ประเทศ)

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนเกณฑ์การให้คะแนนจากเต็ม 10 เป็น เต็ม 100 คะแนน  นั่นเท่ากับว่าถ้าสอบผ่านต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 50 คะแนน ซึ่งเกณฑ์นี้เริ่มใช้ในรัฐบาล ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2555 อันดับที่ 88  ได้ 37 คะแนน (จาก 176 ประเทศ)  ปี 2556 อันดับที่ 102 ได้  35 คะแนน (จาก 177 ประเทศ) และปี 2557 อันดับ ที่ 85 ได้ 38 คะแนน (จาก 175 ประเทศ)

 

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

สำหรับยุคของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงที่ควบตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปี 2558 อันดับที่ 76 ได้ 38 คะแนน (จาก 168 ประเทศ) ปี 2559 อันดับที่ 101 ได้ 35 คะแนน (จาก 176 ประเทศ) ปี 2560  อันดับ 96 ได้  37 คะแนน (จาก 180 ประเทศ) และปี 2561  อันดับที่ 99 ได้ 36 คะแนน  (จาก 180 ประเทศ)

ขณะที่ปี 2562 ประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 101 จากจำนวนทั้งหมด 180 ประเทศ และได้ค่าเฉลี่ยดัชนีที่ 36 จากคะแนนเต็ม 100  ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จากยุคคสช. เป็นช่วงของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ หลังการเลือกตั้งที่มีรัฐบาลผสมจากหลายพรรคการเมือง

ด้าน ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้โพสต์เฟซบุคเมื่อวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมาเรื่อง “สถานการณ์คอร์รัปชันไทย” ระบุว่า  ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันและกระแสความตื่นตัวของคนไทย ทำให้มั่นใจมากว่า สถานการณ์การต่อต้านคอร์รัปชันกำลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น คือ โกงยากขึ้น ถูกตรวจจับง่ายขึ้นและถ้าจับได้ก็เอาตัวคนผิดมาลงโทษได้เร็วและมีโทษหนักขึ้น

สำหรับคำถามว่า คอร์รัปชันมากขึ้นหรือน้อยลงในปีที่ผ่านมา?” เท่าที่รับฟังจากผู้คนหลายวงการทำให้เชื่อว่า การโกงกิน การเรียกรับส่วย สินบนในบ้านเราไม่ได้ลดน้อยลงเลย คือไอ้พวกที่โกงมันก็ยังโกงกันอยู่ โกงสารพัดรูปแบบมีทั้งรายเล็กรายใหญ่ ส่วนอะไรมากขึ้นหรือน้อยลงแค่ไหนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน

ย้อนรอย 24 ปี “10 นายกฯ” สอบตก “ปราบโกง”

ดร.มานะ นิมิตรมงคล

 

อะไรทำให้สถานการณ์การ ต่อต้านคอร์รัปชันมีแนวโน้มดีขึ้น..หลายปีมานี้ประเทศไทยมีการประกาศใช้มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมจับต้องได้ มากที่สุดนับแต่มีรัฐธรรมนูญ ปี 2540 เป็นต้นมา ประกอบกับหลายปีมานี้คนไทยตื่นตัว และร่วมลงมือต่อต้านคนโกงจริงจังมากขึ้นจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่และภาคธุรกิจหลากหลายวงการ

ทุกวันนี้เราจึงได้เห็นประชาชนกล้าที่จะเปิดเผยพฤติกรรมฉ้อฉลที่ตนพบเห็นผ่านโซเชี่ยลมีเดีย จนนำไปสู่การสอบสวนดำเนินคดีจำนวนมาก เช่น คดีโกงอาหารกลางวันเด็กนักเรียน โกงเงินช่วยเหลือคนพิการ

สถิติการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ขณะที่การพิจารณาตัดสินคดีในขั้นตอน ป.ป.ช. และ ศาลคอร์รัปชันก็รวดเร็วมากในหลายปีมานี้ ผลจากการออกกฎหมายใหม่อย่าง พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ ทำให้มีกติกาที่รัดกุมและตรวจสอบง่ายสำหรับทุกหน่วยราชการ การเปิดเว็บไซต์ ภาษีไปไหนทำให้ผู้สื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าไปตรวจสอบการใช้งบประมาณง่ายขึ้น ขณะที่ พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกฯ ทำให้มีการเรียกรับสินบนลดน้อยลง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการบริการประชาชนและคนทำมาค้าขาย พร้อมกันนี้หลายหน่วยราชการได้พัฒนาระบบงานและใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ให้รวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้นเช่น กรมศุลกากร กรมขนส่งทางบก

ที่กล่าวมาล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายินดีและเป็นความหวังในการต่อต้านคอร์รัปชัน

ทำไมคอร์รัปชันยังไม่ลดลง..คอร์รัปชันจะลดลงเมื่อข้าราชการทำตามกติกาและไม่ยอมให้ใครทำผิด ขณะที่ภาคประชาชนต้องสามารถติดตาม ตรวจสอบ แสดงความเห็นได้โดยไม่ต้องกลัวใคร เพราะได้รับการปกป้องตามรัฐธรรมนูญ

แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่ามีหลายเรื่องที่ทำให้ประชาชนผิดหวัง เช่น บ่อยครั้งที่กลไกภาครัฐไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา มีการใช้อำนาจและกฎหมายแบบสองมาตรฐาน มีการแทรกแซงการบริหารราชการและองค์กรอิสระแบบทีใครทีมัน การตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระยังไม่ปรากฏ อภิสิทธิ์ชนและพวกพ้องตกเป็นข่าวมัวหมองครั้งแล้วครั้งเล่า

คนมีอำนาจชอบพูดคำว่าโปร่งใส แต่ไม่ชอบเปิดเผยข้อมูล อ้างแต่ว่าเป็นเรื่องความลับของทางราชการหรือสิทธิส่วนบุคคล แม้แต่เอกชนที่มาประมูลงานหรือขอสัมปทานยังไปช่วยปกปิดให้เขาโดยอ้างว่าเป็นความลับทางการค้า

การที่มีนโยบายมีมาตรการ แต่กลไกรัฐไม่เดิน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำไม่รู้ไม่ชี้หรือเฉไฉไป คนมีอำนาจสั่งการก็ไม่กำกับดูแลให้งานเดิน เมื่อไม่มีการปฏิบัติจริงจังก็ไม่มีอะไรสกัดกันคนโกงหรือทำให้ลดลงได้

ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้คะแนนอันดับคอร์รัปชันโลก (CPI) ของไทยไม่กระเตื้องขึ้นเลย ตัวอย่างแรก เรื่องการป้องกันคอร์รัปชันในหน่วยราชการ ตามมติ ครม. เมื่อ 27 มีนาคม 2561 ที่หัวหน้าหน่วยงานต้องรับผิดด้วยหากเกิดคอร์รัปชันในหน่วยงานของตน ดังนั้นเขาต้องหาทางป้องกันให้รัดกุม และเมื่อมีคนทำผิดหรือถูกร้องเรียนก็ต้องเร่งสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่ผ่านมาเกือบสองปียังไม่เห็นมีใครทำอะไรทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับคนตำแหน่งใหญ่โตหรือคนตำแหน่งเล็กๆ

ตัวอย่างที่สอง การปฏิรูปการให้บริการประชาชนตาม พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ประกาศตั้งแต่ต้นปี 2558 จากนั้น กพร. ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมหลายประการที่ทันสมัย เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและคนทำมาค้าขายอย่างมาก แต่ผ่านมาสี่ปี การปฏิบัติในหน่วยงานต่างๆ ยังมีน้อยมาก โดยยกข้ออ้างและข้อขัดแย้งของกฎหมายสารพัด

ตัวอย่างที่สาม รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะของทางราชการให้มากที่สุดเพื่อความโปร่งใส แต่ผู้มีอำนาจและหน่วยงานของรัฐจำนวนมากกลับทำให้ผิดเพี้ยน คือเปิดเผยน้อยลงหรือมีข้อจำกัดมากขึ้น เช่นกรณีของ ป.ป.ช. สตง. และ กกต. ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจตนาหรือขาดความเข้าใจกันแน่

จะชนะคอร์รัปชัน ต้องร่วมมือกัน.. สถานการณ์คอร์รัปชันไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นเพราะความตื่นตัวของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ รวมถึงการที่เรามีมาตรการดีๆ ออกมาหลายอย่าง แต่โดยรวมแล้วคอร์รัปชันยังเป็นปัญหาวิกฤติ ดังนั้นทุกอย่างจะให้ดีขึ้นได้จริงในอนาคตต้องอาศัยความตั้งใจและเร่งลงมือทำร่วมกันให้มากกว่านี้