‘ภูมิใจไทย’ เล่นของร้อน ทำงบประมาณขัด รธน.

08 ธ.ค. 2562 | 10:48 น.

ส.ส.ภูมิใจไทยยอมรับว่า เป็นแค่ผู้ทำหน้าที่ประสานงานงบประมาณเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น

 

แม้จะยังไม่เกิดกระแสที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากนัก แต่ก็มีความน่าสนใจเช่นกันกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 ภายหลังได้มีสื่อในจังหวัดสงขลา (www.songkhlatoday.com) เสนอข่าวพาดหัวว่า "ภูมิใจไทย จัดสรรงบ 5 ล้าน พัฒนาท่องเที่ยว 'นาทวี-สะบ้าย้อย'"

โดยข่าวดังกล่าวระบุว่า คณะส.ส.ของพรรคนำโดย 'เพชรดาว โต๊ะมีนา' ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ 'ณัฏฐ์ชนน  ศรีก่อเกื้อ' ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยคณะของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลา เยี่ยมชมพื้นที่อ.นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย เพื่อเตรียมพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวต้อนรับคณะรัฐมนตรีสัญจรในอนาคต นอกจากนี้ในข่าวยังระบุอีกว่า จะมีการสนับสนุนงบประมาณในการสนับสนุนการท่องเที่ยว 5 ล้านบาท ซึ่งจะเฉลี่ยให้กับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ตรงต่อไป

จากในประเด็นนี้ทำให้เกิดปัญหาว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 144 กำหนดให้ส.ส.จะเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้จ่ายงบประมาณไม่ได้

ผลของการฝ่าฝืน คือ ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล และให้ส.ส.สิ้นสุดสมาชิกภาพ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำหรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแต่ไม่ได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และต้องรับผิดชดใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย

 

มาตรา 144 เป็นหลักการที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับ เพื่อรับรองว่าด้วยการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติออกจากกัน กล่าวคือ ต้องการให้องค์กรอนุมัติงบประมาณกับองค์กรที่ใช้งบประมาณแยกต่างหากเด็ดขาดออกจากกัน โดยในเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชาอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่จัดทำโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ได้อธิบายถึงหลักการมาตรา 144 ไว้พอสังเขปดังนี้

"เป็นบทบัญญัติที่เคยมีมาก่อนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540  (มาตรา 180) และในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550  (มาตรา 168) เนื่องจากในอดีตก่อนปี พ.ศ. 2511 นั้น การแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังมิได้มีเจตนามุ่งที่จะแปรญัตติเพื่อนำเงินงบประมาณไปอยู่ในอำนาจการใช้จ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร"

"ต่อมาเริ่มมีแนวคิดที่จะให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวงเงินที่จะนำไปใช้จ่าย โดยให้เหตุผลว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้พบเห็นปัญหาของประชาชนโดยตรงบ้าง มีราษฎรมาร้องเรียนเพื่อให้แก้ไขปัญหาให้บ้าง จึงเริ่มมีการแปรญัตติเพื่อกันเงินส่วนหนึ่งไว้ให้อยู่ในอำนาจที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถนาไปใช้จ่ายทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาของราษฎรได้โดยตรง และมีแนวโน้มที่จำนวนเงินดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นทุกปี และแนวโน้มที่จะเกิดการทุจริต อันเนื่องมาจากการจัดทำโครงการดังกล่าวมากขึ้น”

 

“จึงได้มีการแก้ปัญหาโดยบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540  (มาตรา 180 วรรคหก) เพื่อป้องกันมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกวุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ เสนอ แปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันมีผลให้ผู้นั้นมีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะมิใช่หน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ"

"อย่างไรก็ตามแม้จะได้มีบัญญัติข้อห้ามในลักษณะดังกล่าวแล้ว รูปแบบการแปรญัตติเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจใช้จ่ายเงินงบประมาณยังคงเกิดขึ้นตลอดมาและมีจานวนสูงขึ้นตามลำดับ และพฤติกรรมแห่งการกระทำส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการดำเนินการอย่างครบวงจร โดยร่วมกันทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และเจ้าหน้าที่ประจำ"

"โดยที่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ไม่ได้บัญญัติสภาพบังคับแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนไว้ชัดเจน ดังนั้น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560  จึงได้กำหนดโทษในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีการกระทำที่มีส่วนได้เสียในการใช้จ่ายงบประมาณ"

ด้าน ‘ณัฏฐ์ชนน’ ให้สัมภาษณ์ชี้แจงว่า จากข่าวที่ออกมาเป็นการลงพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเฉพาะในส่วนของพรรคภูมิใจไทยที่มีการดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นระยะ โดยในฐานะที่เป็นส.ส.ได้ทราบถึงข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 เป็นอย่างดีที่ไม่อาจเข้าไปมีส่วนในการใช้จ่ายงบประมาณได้ ดังนั้น ทำได้แค่เป็นผู้ทำหน้าที่ประสานงานเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่นแต่ประการใด

“จากการลงพื้นที่เราพบว่ามีหลายจุดที่เป็นที่แหล่งท่องเที่ยวแต่ยังไม่ได้มีการพัฒนาการในเชิงบูรณาการเพราะขาดการสนับสนุนงบประมาณ ดังนั้น ผมในฐานะที่เป็นส.ส.ที่เป็นผู้แทนของประชาชน จึงเป็นผู้ประสานงานให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้นำปัญหาต่างไปนำเสนอกับส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเพื่อดำเนินการจัดการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนร่วมกันให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไปเท่านั้น” ณัฏฐ์ชนน ยืนยันความบริสุทธิ์