“ศรีสุวรรณ”ร้องป.ป.ช.สอบลูกพรรค“อนุทิน”ถือครองที่ ภ.บ.ท.5

26 พ.ย. 2562 | 07:56 น.

 

 “ศรีสุวรรณ”ร้องป.ป.ช.สอบ “สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง”ส.ส.กระบี่ ลูกพรรค “อนุทิน” ครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท.5 รวม 200 ไร่ ส่อขาดคุณสมบัติการมีสิทธิทำประโยชน์ตามที่ก.ม.กำหนด

ในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.30 น. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะเข้ายื่นร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน เพื่อดำเนินการเอาผิดหรือลงโทษ หากพบว่า นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ลูกพรรคของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ครอบครองที่ดิน  ภ.บ.ท.5 จำนวน 2 แปลงรวม 200 ไร่ ในพื้นที่ ม.8 ต.ห้วยยูง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ไม่ถูกต้อง 


นายศรีสุวรรณ เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ตรวจสอบรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส. พบว่า นายสฤษฏ์พงษ์ ได้ครอบครองที่ดิน  ภ.บ.ท.5 จำนวน 2 แปลงรวม 200 ไร่ในพื้นที่ ม.8 ต.ห้วยยูง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ซึ่งน่าจะขาดคุณสมบัติของการมีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด

 

ภ.บ.ท.5 คือ เอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภาษีดอกหญ้า) ซึ่งท้องถิ่นจะจัดเก็บ ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่เอกสารแสดงสิทธิครอบครองที่ดิน เพราะเจ้าของที่ดินก็ยังคงเป็นของทางราชการอยู่ เพียงแต่อาจจะให้มีการใช้ประโยชน์ชั่วคราว แต่ไม่ถือว่าผู้ที่ใช้ประโยชน์นั้นเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งกรมการปกครองเมื่อปี 2551 สั่งให้ยกเลิกการเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว เพราะปัญหาคือ ส่วนมากเป็นที่ป่าสงวน การแจ้งเสียภาษีก็แจ้งกันเองโดยไม่รังวัด บางรายครอบครองเป็นร้อยเป็นพันไร่ บุกรุกป่าทั้งนั้น ซึ่งที่ดินประเภทดังกล่าว ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใด โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2519  กำหนดบรรทัดฐานไว้ว่า “ผู้ที่มีชื่อในใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้เสียภาษีเท่านั้น  ไม่ใช่หลักฐานแสดงว่าผู้นั้นมีสิทธิครอบครอง” 


ดังนั้น การที่นายสฤษฏ์พงษ์ ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 25 พฤศภาคม 2562 ปรากฏโดยชัดแจ้งว่า มีที่ดิน ภ.บ.ท.5 จำนวน 2 แปลง ๆ ละ 100 ไร่ รวม 200 ไร่ และมีที่ดินที่เป็นโฉนดอีก 22 แปลงรวมมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท และมีทรัพย์สินอื่น ๆ อีกมากมาย (รวมของภรรยา) รวมมูลค่ากว่า 164 ล้านบาท จึงไม่ถือว่ามีฐานะยากจนหรือเป็นเกษตรกร หรือผู้ยากไร้ ซึ่งขัดหรือแย้งต่อ พ.ร.ฎ.กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเป็นเกษตรกร พ.ศ.2535 
 

 

ดังนั้น นายสฤษฏ์พงษ์ ย่อมรู้ว่าตนเองเป็นผู้ที่อาจขาดคุณสมบัติของการได้สิทธิในการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ภ.บ.ท.5 แต่กลับไม่ยอมสละที่ดินดังกล่าวคืนให้รัฐ เพื่อนำไปจัดสรรให้กับผู้ยากไร้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งเท่ากับว่าอาจมีเจตนาที่จะทุจริตต่อหน้าที่ตาม กฎหมาย ป.ป.ช. 2561 และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมฯ 2561 อย่างร้ายแรงในข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 9 และยังเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักในข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 17 และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมทั่วไปในข้อ 21 ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 ม.219 บัญญัติ ดังนั้น สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจำต้องนำความร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.