กกต.ยึดคำวินิจฉัยศาลรธน.ฟ้องอาญา“ธนาธร”

20 พ.ย. 2562 | 11:25 น.

เลขาฯกกต.ชี้ช่องคณะกรรมการไต่สวนฯ นำคำพิพากษาศาลรธน. ไปประกอบสำนวนคดีอาญา ปม “ธนาธร” ฝ่าฝืน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ด้าน“วิษณุ”ชี้มีช่องเอาผิดอาญา แต่ต้องพิสูจน์กันอีกมาก

 

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) กรณีถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ว่า หลังจากนี้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของ กกต. ก็คงดำเนินการสอบสวนกรณีคำร้องที่มีผู้กล่าวหาว่า 

นายธนาธร ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) กรณีผู้ใดรู้อยู่ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต่อไป 

“โดยตามหลักการทั่วไปแล้ว คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คงจะต้องนำผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ไปพิจารณาประกอบในสำนวนด้วย เพราะมีการวินิจฉัยว่านายธนาธร ขาดคุณสมบัติ” พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ระบุ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2561 มาตรา 54 ระบุว่า สมัครลงรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และ มาตรา 151 ระบุไว้ว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งรู้ตัวว่า ไม่มีสิทธิแล้วยังสมัคร ต้องโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี โดย กกต.ต้องเสนอเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไป  

               

                                           กกต.ยึดคำวินิจฉัยศาลรธน.ฟ้องอาญา“ธนาธร”

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายธนาธร พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ว่า นายธนาธร ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังสามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ได้ ไม่ได้ถูกตัดสิทธิอะไร พรรคอนาคตใหม่ก็ยังอยู่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องคุณสมบัติอย่างเดียว 

นายวิษณุ กล่าวว่า ตนได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ของนายธนาธรภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก็สงสัย ที่นายธนาธรบอกว่าคดีนี้แปลกหรือไม่ ศาลไม่ได้บอกว่ามีมติเท่าไรต่อเท่าไร ตนไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ว่านายธนาธรใช้ประโยคนี้ ซึ่งโดยปกติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมี 9 คน ต้องลงมติอยู่แล้ว ถือว่าแปลกถ้าศาลไม่ได้บอก หรือบอกไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะตนไม่ได้ฟังอย่างละเอียด แต่นายธนาธร มาพูดในตอนท้ายว่าให้สังเกตว่าไม่ได้มีการสรุปว่ามีมติเท่าไร ซึ่งมติตรงนี้อาจจะไปอยู่ในคำวินิจฉัยฉบับเต็ม ถือว่าเป็นประเด็นที่น่ารู้เหมือนกัน

“ผมอยากรู้เหมือนกันว่ามติเท่าไร มันจะแสดงอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะแสดงถึงความเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นต่อไปในอนาคต เพราะจะทำให้มองเห็นได้ว่า ทัศนคติศาลเป็นอย่างไร”นายวิษณุ กล่าว

 

เมื่อถามว่าสามารถนำคำวินิจฉัยดังกล่าวไปฟ้องร้องอื่นๆ ได้อีกหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ เนื่องจากไม่ได้ฟังศาลอ่านคำวินิจฉัยทั้งหมด จึงไม่รู้ว่าศาลพูดถึงอะไรบ้าง แต่โดยปกติมันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเรื่องนั้นเรื่องเดียวเท่านั้นเอง เพียงแต่อาจเป็นช่องทางให้มีการไปหาพยานหลักฐานอื่น แต่จะเอาตรงนี้ไปปิดปากคดีอื่นไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า คดีนี้มีโทษทางอาญาตามมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในตัวเองมันเองแค่นี้จบ ไม่มี แต่ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง เท่าที่ดูกันไว้นานมาแล้ว เหมือนที่มีคนกล่าวหานายกรัฐมนตรี ว่าบุคคลใดที่รู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามแล้วยังไปดำเนินการอันเป็นเท็จ อย่างนั้นมันผิด แต่เราจะมาพูดเอาคดีนั้นมาชนคดีโน้น มันจึงไม่ได้ในตัวมันเอง ต้องไปพิสูจน์อะไรกันอีกเยอะ

 

เมื่อถามว่า หากมีคนสงสัยประเด็นนี้ สามารถร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ไปว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ขอตอบอะไรในส่วนนี้ ตอบได้เท่าที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งใครๆ อ่านแล้วก็รู้ แต่ถ้าเกินจากนั้นจนไปอนุมานเอาว่าเป็นอย่างนั้น ตนไม่ควรจะไปพูด

เมื่อถามว่า ส.ส.คนอื่นที่ถูกร้องเรื่องถือหุ้นสื่อ จะนำไปเป็นบรรทัดฐานหรืออ้างอิงในการต่อสู้คดีได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าข้อเท็จจริงตรงกันมันก็ใช่ แต่จะตรงกันหรือไม่นั้น ไม่ทราบ เพราะมีหลายสิบคน กรณีนี้มีการแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น บางประเภทมีหุ้นในบริษัทที่มีตราสารจนทะเบียนว่า มีวัตถุประสงค์อะไรบ้าง แต่ไม่เคยทำ หรืออีกประเภทคือ ได้ลงมือทำ แล้วเลิกไป ซึ่งมีหลายประเภทเหลือเกิน