“เชียงราย”พบผู้ป่วยโควิดหญิง 2 ราย เชื่อมโยงหญิงเชียงใหม่ 

30 พ.ย. 2563 | 04:54 น.

ผู้ว่าฯ เชียงรายแถลงพบผู้ติดเชื้อโควิด 2 ราย เป็นหญิสาวทั้งคู่แอบลักลอบข้ามแดนทางช่องทางธรรมชาติจากฝั่งท่าขี้เหล็ก ชี้กลุ่มเดียวกันกับผู้ป่วยหญิงที่เชียงใหม่ พบมีกลุ่มเสี่ยง 30 คน แต่ไม่น่าห่วงเหตุไม่ได้เข้าไปในแหล่งชุมชน  



วันนี้(30 พ.ย.63) ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าฯ เชียงราย นพ.ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผอ.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พร้อมหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีผู้ลักลอบเดินทางเข้ามาจากประเทศเมียนมา ที่มาพร้อมกับหญิงสาวที่ติดเชื้อไว้รัสโควิด-19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ 


ทั้งนี้ที่จังหวัดเชียงราย พบว่า หญิงสาวอายุ 29 ปี ชาว อ.ขุนตาล จ.เชียงราย และหญิงสาว 23 ปี ชาวจ.พะเยา ที่ได้ลักลอบข้ามพรมแดนฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ข้ามมาฝั่งอำภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มาพร้อมกับหญิงสาวที่ติดเชื้อที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าทั้ง 2 คนมีผลตรวจติดเชื้อไวรัสโควิด-19    


ทั้ง 2 คนได้เดินทางข้ามพรมแดนไทยเมียนมาตามช่องทางธรรมชาติ จากนั้นได้เข้าพักที่โรงแรมแม่สายอินน์ จนกระทั่งทราบว่าหญิงสาวที่เดินทางมาด้วยกันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เชียงใหม่ จึงได้รู้สึกไม่สบายในและได้เดินทางมาตรวจที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงราย จากนั้นได้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์เพื่อตรวจหาเชื้อ และพบว่าทั้ง 2 คนติดเชื้อ และได้ทำการักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเชียงรายปนะชานุเคราะห์ ซึ่งทั้ง 2 คนอาการไม่รุนแรง
 


ด้าน นพ.ทศเทพ บุญทอง กล่าวว่า ในกรณีผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อทั้ง หญิงสาวที่เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ และหญิงสาวทั้ง 2 คนที่ตรวจพบเชื้อในจังหวัดเชียงราย มีผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 22 ราย ซึ่งติดตามได้แล้วทั้งหมดและอยู่ในระหว่างการตรวจหาเชื้อไวรัส 


นอกจากนี้ยังสืบหาพบว่า หญิงสาวทั้ง 2 คนที่พบเชื้อในจังหวัดเชียงรายได้สั่งอาหารจากฟู้ดเดลิเวอรี่ จึงจะต้องติดตามพนักงานส่งอาหารมาตรวจโรคด้วย ซึ่งคาดว่าจะต้องติดตามตัวอีกรวมกันกับกลุ่มแรกแล้วประมาณ 30 คน ซึ่งในกลุ่มเคสนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะว่าไม่ได้เดินทางไปในแหล่งชุมชนที่ใด ซึ่งต่างจากกรณีในจังหวัดเชียงใหม่ที่เดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวและสถานบันเทิงหลายแห่ง

 

นายประจญ ปรัชญ์สกุล กล่าวว่า กรณีที่มีการลักลอบเดินทางเข้ามาตามแนวชายแดนนั้น ส่วนใหญ่พบว่าเป็นคนไทยที่ได้ข้ามไปทำงานตามสถานบันเทิงในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สถานบันเทิงปิดตัว ทำให้ไม่มีงานทำ ประกอบกับกลัวว่าจะติดเชื้อ จึงได้พยามลักลอบกลับมายังประเทศไทย แต่เนื่องจากเดินทางไปยังประเทศเมียนมาโดยผิดกฎหมาย จึงไม่สามารถกลับมาตามช่องทางปกติได้ ซึ่งตามกฎหมายของประเทศเมียนมามีโทษถึงจำคุก ทำให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวต้องหลบหนีกลับประเทศไทยตามเส้นทางธรรมชาติ หรือติดต่อกับนายหน้าเพื่อพาข้ามพรมแดน 


ในเบื้องต้นทางฝ่ายไทยก็ได้มีการติดต่อประสานงานกับประเทศเมียนมา โดยทางศูนย์ประสานงานชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา เพื่อหาทางให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวกลับเข้ามาตามช่องทางที่ถูกต้องเพื่อจะได้มีการคัดกรองโรคตามขั้นต้องเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
 

ในส่วนมาตราการของจังหวัดก็ได้มีการเข้มงวด และจะได้สั่งการให้นายอำเภอแต่ละอำเภอแจ้งให้ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตรวจสอบบุคคลแปลกหน้า และประชาสัมพันธ์ให้บุคคลที่เดินทางกลับมาจากประเทศเมียนมาโดยไม่ผ่านการคัดกรอง ให้มารายงานตัวเพื่อจะได้เข้าสู่ระบบการตรวจหาเชื้อและคัดกรองโรค เพื่อความปลอดภัยของชุมชน หากปกปิดหรือหลบซ่อนอาจจะเป็นอันตรายต่อครอบคัวของตนเอง และชุมชนได้ ด้านขบวนการลักลอบข้ามแดนนั้น ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ติดตามขบวนการลักลอบข้ามแดน 


โดยพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อผ่านชาวเมียนมาที่หลบซ่อนอยู่ในฝั่งประเทศไทย เพื่อนัดจุดที่จะนำผู้หลบหนีมาส่งให้และพาไปยังจุดต่างๆ โดยจะมีการนัดแนะเป็นครั้งไป ไม่ได้เป็นขบวนการ โดยที่ผ่านมาพบว่ามีการโพสต์ในโซเชียลว่าสามารถนำพาข้ามพรมแดนได้ ครั้งละ 3,000 -5,000 บาทนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและโทรไปตามหมายเลขดังกล่าวแล้วแต่ไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการติดตามพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าอยู่ และมีข้อมูลบ้างแล้ว ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการติดตามจับกุม


นพ.ไชยเวช ธนไพศาล กล่าวว่า โรงพยาบาลเชียงรายศูนย์ประชานุเคราะห์ได้มีการซ้อมแผนเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 หลายครั้ง ตามนโยบายของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทำให้มีความพร้อมในการรับมือกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส จึงไม่มีความกังวลหากมีผู้ป่วยเข้ามารักษาในโรงพยาบาล

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ด่วน! ผู้ว่าฯเชียงราย แถลงยืนยัน พบผู้ติดโควิด 2 ราย 

อ่วม! ทั่วโลกติดโควิด-19 ทะลุ 63 ล้านราย เพิ่มขึ้นเฉียด 5 แสนราย