การยางฯจับมือม.อ.ตั้งศูนย์วิจัยสู้ ถุงมือยางธรรมชาติ"ไม่แพ้โปรตีน"

28 พ.ย. 2563 | 22:25 น.

การยางฯ ร่วม ม.อ. เปิดเวที “การแพ้โปรตีนในยางพารา” ปลุกตั้งศูนย์วิจัยสู้ พบ “ถุงมือยาง” จากยางธรรมชาติ ไม่ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง แพทย์ ม.อ. ระบุใช้งานได้ดี ประธานบอร์ด กยท.หวังเป็นจุดเปลี่ยน สร้างเสถียรภาพราคายางพารา


การยางฯ ร่วม ม.อ. เปิดเวที “การแพ้โปรตีนในยางพารา” ปลุกตั้งศูนย์วิจัยสู้ พบ “ถุงมือยาง” จากยางธรรมชาติ ไม่ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง แพทย์ ม.อ. ระบุใช้งานได้ดี ประธานบอร์ด กยท.หวังเป็นจุดเปลี่ยน สร้างเสถียรภาพราคายางพารา
    

นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวถึงที่มาในการจัดเสวนา เรื่อง การแพ้โปรตีนในยางพารา โดยกยท. ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ที่โรงแรมบรรจงบุรี จ.สุราษร์ธานี ระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2563 ว่า จุดอ่อนที่น้ำยางธรรมชาติถูกโจมตีมากที่สุดคือเรื่องโปรตีนที่อยู่ในยาง ที่ทำให้บางคนที่คิดเป็นเปอร์เซนต์น้อยมากเกิดอาการแพ้ แต่ก็ทำให้ช่วง 7-8 ปีก่อน มีการปรับเปลี่ยนไปใช้ยางสังเคราะห์มากขึ้น และยางธรรมชาติก็ถูกโจมตีจุดนี้มาตลอด
    การยางฯจับมือม.อ.ตั้งศูนย์วิจัยสู้ ถุงมือยางธรรมชาติ"ไม่แพ้โปรตีน"  

ด้วยองค์ความรู้ในปัจจุบัน มหา วิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) มีงานวิจัยที่เรียกว่า “โปรตีนต่ำ” คือระดับโปรตีนที่อยู่ในยางพาราต่ำกว่าเกณฑ์ที่อเมริกาหรือยุโรปกำหนด ว่าในถุงมือยางพาราธรรมชาติต้องมีโปรตีนไม่เกินที่กำหนด จึงจัดงานนี้ที่เชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องมานำเสนอ จากนั้นจะนำงานวิจัยทั้งหลายมาตีพิมพ์ในวารสารยาง ที่โลกยอมรับ แล้วทำการสื่อสารไปในระดับโลก
    

“เป้าหมายของงานนี้เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่นำองค์ความรู้ของผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศมาสื่อสารกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า ยางพาราธรรมชาติโปรตีนต่ำสามารถทำได้แล้ว และเราจะขยายออกไปเป็นเวทีระดับชาติ สื่อสารไปยังผู้ที่เกี่ยว ข้องในวงการยางทั้งหลายทั่วโลก” นายประพันธ์ กล่าวและว่า
    

กรณีดังกล่าวจะส่งผลต่อเสถียรภาพราคายางพารา รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าที่จะทำรายได้ให้ประเทศไทย แม้จะไม่ส่งผลชั่วข้ามคืน แต่เป็นมาตรการระยะยาวที่มีความมั่นคง เราไม่ได้เข้าไปเร่งหรือจัดการในเรื่องราคา แต่เป็นการที่สร้างความต้องการอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้น จนเป็นความมั่นคงอย่างถาวร
   การยางฯจับมือม.อ.ตั้งศูนย์วิจัยสู้ ถุงมือยางธรรมชาติ"ไม่แพ้โปรตีน"    

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โควิด หนุนธุรกิจ “ถุงมือยาง” โตกระฉูด 

ป.ป.ช.ไฟเขียวตั้งอนุฯไต่สวนคดีทุจริตถุงมือยางแล้ว

"วิชัย ทองแตง" ดัน แกรนด์ แอสเสท ร่วมลงทุนธุรกิจถุงมือยาง

รู้ตัว‘ไอ้โม่ง’ร่วมขบวนการแล้ว เร่งเอาผิดคดีถุงมือยางแสนล้าน

 การยางฯจับมือม.อ.ตั้งศูนย์วิจัยสู้ ถุงมือยางธรรมชาติ"ไม่แพ้โปรตีน"

รศ.ดร.เจริญ นาคะสรรค์ รองอธิการบดี ม.อ. วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี และกรรมการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การแพ้โปรตีนเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อ 14-15 ปีที่แล้วถุงมือยางไม่ว่าจะเป็นถุงมือยางทางการแพทย์ หรือถุงมือยางทั่วไป จะใช้ยางธรรมชาติทั้งหมด แต่เมื่อเจอประเด็นบริษัททำถุงมือยางของประเทศอังกฤษ พบคนอังกฤษ 1 คน เกิดอาการแพ้และเสียชีวิต แล็บยุโรปและตะวันตกทำวิจัยเรื่องการแพ้โปรตีนในถุงมือยางพารา ใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ว่าแพ้จริง สรุปว่า คนแพ้โปรตีน 1-6% แพ้ตั้งแต่น้อยมากถึงมากที่สุด แต่เขาไม่ได้บอกว่าเป็นคนที่ไหน
  

เดิมถุงมือ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรง ความสัมพันธ์ของแก๊ส มีการตั้งมาตรฐานที่สูงมาก และยางพารามีคุณสมบัติดี แต่พอเกิดปัญหาการแพ้โปรตีน จึงได้คิด ค้นหายางพาราสังเคราะห์ เช่น ยางไนไตรล์ ยางคลอโรฟิลล์ ซึ่งมีคุณสมบัติเชิงกลด้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็นการทนต่อแรงฉีกขาดหรือแรงดึง สู้ถุงมือยางธรรมชาติไม่ได้ แต่ก็มีการปรับลดมาตรฐานลง เพื่อให้ถุงมือยางสังเคราะห์เหล่านี้เข้าสู่ตลาดได้
    

“คำถามคือ การแพ้โปรตีนมีความจริงมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ ประเทศไทยเป็นที่ผลิตยางพาราธรรมชาติ ก็ไม่เคยทำวิจัยมาป้องกันตัวเอง มีแต่ไปตามวิจัยของต่างชาติ”
       

รศ.ดร.เจริญ กล่าวว่า ปัจจุบันโรงงานถุงมือยางในภาคใต้ ก็เปลี่ยนไลน์การผลิตมาเป็นยางสังเคราะห์ หรือมาเลเซียที่เคยผลิตมากและสั่งซื้อน้ำยางธรรมชาติจากบ้านเราไปผลิต ก็เริ่มหันไปใช้ยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นเช่นกัน ฉะนั้น จะมีภัยคุกคามกับยางพาราธรรมชาติมากขึ้น  จึงเกิดเป็นสัมมนาในครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ว่า การแพ้โปรตีนจากยางพารามีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
    

“เราไม่เคยพิสูจน์ว่ายางพาราในประเทศไทยทำให้เกิดอาการแพ้เหมือนกันหรือไม่ สมมติว่าเราทดลองเหมือนยุโรป แต่เป็นเชื้อชาติอื่น เผ่าพันธุ์อื่น เช่น คนไทย จีน  ผิวสี ว่าจะแพ้เหมือนกันหรือไม่ เพราะคนไทยไม่มีใครแพ้หรืออาจจะแพ้น้อยมาก แต่ในโรงพยาบาลแทบไม่เจอคนที่แพ้โปรตีนยางพาราในถุงมือเลย”
    

รศ.ดร.เจริญ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีนักวิชาการนักวิจัยในด้านนี้ หากพวกเรารวมตัวกัน สามารถทำเรื่องนี้ได้ภายใน 5-10 ปี จะพลิกอุตสาหกรรมถุงมือยางในประเทศ
    

“เราจะจัดตั้งศูนย์วิจัยการแพ้โปรตีนในยางพารา ซึ่งจะร่วมกับ กยท. และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยียาง ชีวเคมี และการแพทย์ โดยนักวิชาการที่มีความสามารถในการตีพิมพ์งานวิจัย เพื่อให้เข้าถึงคนอ่านได้มากที่สุด และนำในเวทีวิชาการระดับโลก เพราะถุงมือยางธรรมชาติดีกว่ายางสังเคาะห์ ทั้งความเข็งแรงและยืดหยุ่น”
    

ทั้งยางสังเคราะห์ยังมีสารพิษมากกว่ายางธรรมชาติ นั่นคือ สารไซยาไนด์ในถุงมือสังเคราะห์ หากเราทดสอบแล้ว มียางพันธุ์ไหนที่ไม่มีการแพ้ก็สนับสนุนให้เกษตรกรปลูก 7 ปีก็เห็นผล สร้างโรงงานผลิตถุงมือได้
    

นักวิจัยสาขาที่สำคัญๆ ที่ได้นำมาร่วมงานสัมมนาครั้งนี้จะประกอบด้วยด้านต่างๆ อาทิ ด้านเทคโนโลยียาง ผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับยาง ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบโมเลกุลยาง การขึ้นรูปยาง เป็นต้น ด้านชีวเคมี เรื่องโมเลกุลสิ่งมีชีวิต โปรตีนการแพ้ แพทย์ จะเป็นตัวเชื่อมด้านเทคโนโลยียางและชีวเคมีในร่างกายมนุษย์ “สามกลุ่มนี้นักวิชาการเก่งๆ ที่มีความสามารถในการตีพิมพ์นำความเป็นจริงมาหักล้างข้อมูลเดิมได้”
    
ขณะเดียวกัน บริษัทผู้ผลิตถุงมือทุกแห่งจะมีตัวแทนเข้าร่วม ซึ่งหลังจากจบสัมมนาข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งไปยังบริษัทต่างๆ ดังนั้น เวทีในวันที่ 24-25 พฤศจิกายนนี้ เป้าหมายคือ ถุงมือยางธรรมชาติต้องกลับมา เราจะหาความจริงมาสู้กับโลก โดยการร่วมมือระหว่าง กยท.และม.อ.
    

 การยางฯจับมือม.อ.ตั้งศูนย์วิจัยสู้ ถุงมือยางธรรมชาติ"ไม่แพ้โปรตีน"

ผศ.นพ.วรวิทย์ วาณิชย์สุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะแพทย์ที่ใช้ถุงมือยางธรรมชาติจริง กล่าวว่า จากประสบการณ์ ถุงมือยางสังเคราะห์ที่เป็นไนไตรล์ก็มีคนที่แพ้เช่นกัน จึงอยากเปิดมิติใหม่ให้กับวงการยางพาราและวงการแพทย์ของไทย
    

“ผมยินดีที่ได้เป็นตัวแทนบุคลากรของวงการสาธารณสุขไทย ถ้าหากเราได้เป็นหนึ่งในกระบอกเสียง ว่าจริงๆ แล้วนอกจากที่เราใช้งานเพียงอย่างเดียวแล้วนั้น เรามองไปถึงต้นตอและวัตถุดิบบางอย่างที่สามารถที่จะลดการนำเข้า เพิ่มมูลค่ายางพาราไทย ในภาคอุตสาหกรรมเครื่องมือการแพทย์ของไทยได้”
    

ตนมีประสบการณ์ที่ได้ทำอุปกรณ์รองรับการขับถ่ายจากทวารเทียมจากยางพาราโปรตีนต่ำ จึงเป็นต้นตอที่ได้ทำเรื่องนี้ และค้นคว้าโดยมีทีมนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์กับคณะเภสัชศาสตร์ ม.อ. หาสูตรยางที่สามารถใช้ในมนุษย์ได้ คือ ยางพาราโปรตีนต่ำ
  

 “ม.อ.มีองค์ความรู้เยอะ แต่ยังขาดการทดลองต่อด้วยมนุษย์ ที่ผ่านมา 6 ปีที่ผมได้ทดลองเรื่องนี้มาทุกท่านได้ช่วยกันประเมิน จนเจอสูตรยางพาราโปรตีนต่ำขึ้นรูปมาได้” 
    

ผศ.นพ.วรวิทย์ กล่าวและว่าปัจจุบันยางพาราสังเคราะห์ก็มีคนใช้ ประเด็นคือ เราใช้ยางธรรมชาติ เหมือนกันในบางยี่ห้อ ส่วนใหญ่ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันถุงมือเป็นยี่ห้อของต่างประเทศและนำเข้ามาทั้งหมด และบางครั้งการใช้ถุงมือยางก็มีการแพ้ ตนเป็นศัลยแพทย์ ในหนึ่งสัปดาห์ต้องเข้าห้องผ่าตัดอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือทุกวันนี้ก็ต้องใช้ถุงมือ บางวันก็ต้องใช้ตลอดเวลา ถุงมือยางธรรมชาติก็ใช้อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นยางไนไตรล์ที่นำเข้ามา
  

 “ผมเป็นคนที่ทำเรื่องยางพาราโปรตีนต่ำและใช้ยางธรรมชาติ จึงเกิดข้อสงสัยว่า ยางพาราสังเคราะห์ พวกยางไนไตรล์จะมีอาการแพ้หรือไม่ โดยส่วนตัวผมเวลาที่ใช้ถุงมือ และศัลยแพทย์หลายท่านที่ได้ใช้ถุงมือใน 10 คน จะมีประมาณ 2 คนที่เกิดอาการระคายเคืองแพ้ถุงมือ เราก็ไม่ทราบว่าถุงมือนี้มันแพ้มาจากอะไร”
    

ขณะที่ ผศ.ดร.เอกวิภู กาลกรณ์สุรปราณี รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา ม.อ. ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องยางพารา กล่าวว่า ตนกำลังศึกษาข้อมูลการจดสิทธิบัตร สิ่งที่เจอคือ หลังจากที่โควิดระบาด เทคโนโลยีการจดสิทธิบัตรถุงมือยางเพิ่มขึ้น เมื่อ 2 ปีที่แล้วจดน้อยลง หลังโควิด การจดสิทธิบัตรถุงมือยางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น 
    

สิ่งที่น่าสนใจคือ บริษัทที่จดสิทธิบัตรมากอันดับหนึ่งของโลก เป็นสัญชาติอเมริกา โดยที่ในความเป็นจริง เขาเพิ่งมาสนใจจดสิทธิบัตรยางธรรมชาติ แสดงว่าจริงๆ แล้วเทคโนโลยียางพาราที่เอามาทำเป็นถุงมือแพทย์ ยังมีความต้องการอยู่ โดยเฉพาะถุงมือแพทย์ ถ้าใช้ยางสังเคราะห์ โดยคุณสมบัติของโพลิเมอร์มันไม่เข้ารูป ถุงมือยางธรรมชาติข้อเด่นคือ มันจะรัด เรียกได้ว่าเป็นการยืดหยุ่นที่ดี เมื่อใช้งานก็จะไม่ให้ความรู้สึกเมื่อย
    

“วันนี้ความต้องการถุงมือยางเพิ่มมากขึ้นจริง แต่เป็นยางไนไตรล์มากกว่ายางธรรมชาติ 9-10 เท่า ดังนั้น คำถามคือ ณ วันนี้ ในเส้นทางการผลิตของบริษัทบ้านเรา ที่ตั้งโรงงานถุงมือยางอยู่ที่นี่เพื่อให้ใกล้วัตถุดิบยางธรรมชาติในอดีต แต่ปัจจุบันสามารถเข้าไปดูในโรงงานได้ว่า ผลิตยางสังเคราะห์มากกว่ายางพาราธรรมชาติ”
    

หลังจากโควิด-19 ยางไนไตรล์หมดโลก เพราะทุกคนใช้ ทำให้คนหันกลับมาใช้ยางพาราธรรมชาติมากขึ้น เพราะไม่มีวัตถุดิบ หากนักวิจัย นักวิชาการ ไม่ทำอะไร ผู้ที่ตีพิมพ์และรายงานเรื่องการแพ้โปรตีนในยาง ก็ยังสามารถที่จะเอารายงานเหล่านี้มาพูดแล้วทำให้คนไม่มั่นใจ ในวันที่ยางสังเคราะห์มีปริมาณการผลิตมากพอ ยางธรรมชาติก็จะกลับเข้ามาวงจรเดิม  
    

“วันนี้ถ้าเรารู้ได้ว่าพันธุ์ไหนให้โปรตีนภูมิแพ้น้อย เราก็กำหนดได้ว่าบางแปลงไม่ไปปนกับคนอื่น แต่ให้มูลค่าสูงได้เพราะเป็นยางทางการแพทย์ อนาคตเราอาจจะมีความรู้มากขึ้นว่า คนไทยแพ้โปรตีนตัวไหนมาก ก็จะปลูกที่มีโปรตีนน้อยปลูกแล้วได้คุณภาพ และมูลค่ามากขึ้น”
             

วันนี้เรากล้าการันตีว่า “ยางพาราธรรมชาติสามารถใช้กับผิวหนังมนุษย์ได้” เหตุผลคือ งานวิจัยที่ได้นำยางไปแปะไว้บริเวณที่เพิ่งผ่าตัด  ซึ่งอ่อนไหวที่สุด โดยปกติแล้วหากไม่แพ้ ก็ไม่น่าจะมีประเด็นของการแพ้ สิ่งหนึ่งที่เห็นและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคือ เมื่อตั้งโจทย์นี้มา ก็เกิดปรากฏ การณ์ที่ทุกคนพยายามนำความรู้ที่มีมาช่วย คือทุกคนคิดเหมือนกันแต่ไม่มีใครกล้านำ
    

“ต้องขอบคุณการยางโดยประธานบอร์ดที่ได้ริเริ่มตรงนี้ขึ้น จริงๆ แล้วทุกคนก็คิดอยู่ในใจเหมือนกัน เมื่อตั้งโจทย์มาทุกคนที่มีองค์ความรู้ก็จะเข้ามาช่วย” ผศ.ดร.เอกวิภู กล่าว 

 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  หน้า 17 ปีที่ 40  ฉบับที่ 3,631 วันที่ 29 พฤศจิกายน - 1 ธ.ค. 2563