เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตนได้เดินทางไปประชุมกับผู้อำนวยการสำนักงานเขตคลองเตย บางนา พระโขนง และเขตวัฒนา เพื่อชี้แจงสถานการณ์และการเตรียมการเพื่อรองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ สปสช. ได้ยกเลิกสัญญากับคลินิกชุมชนที่ทุจริตเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเตรียมที่จะยกเลิกสัญญากับคลินิกเอกชนเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะมีผลในวันที่ 30 กันยายนนี้
ข่าวเกี่ยวข้อง
สปสช.เผยมีคลินิกใหม่กว่า 20 แห่งเข้าร่วมบริการบัตรทอง กทม.
9 รพ.สังกัดกทม.พร้อมดูแลปชช.กรณีสปสช.ยกลิกสัญญาคลินิก-รพ
สปสช.พบเพิ่มอีกทุจริต "บัตรทอง" 106 แห่ง
โดย สปสช. จะมีการแถลงข่าว การเตรียมมาตรการรองรับดูแลและแนวทางการแก้ไขปัญหาในวันที่ 29 ก.ย.นี้ โดยในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ตนจะเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งมี นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ประธานสภา กทม. เป็นประธานการประชุม ถึงการเตรียมมาตรการรองรับเพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนสิทธิบัตรทองในพื้นที่ กทม.
ขณะเดียวกันในระหว่างวันที่ 28-30 ก.ย. 2563 นี้ สปสช. ได้จัดทีมผู้บริหารลงพื้นที่พบปะหารือกับผู้อำนวยการเขตต่างๆ ทั่ว กทม. รวมทั้งหมด 50 เขต เพื่อชี้แจงสถานการณ์และเตรียมการรองรับเช่นกัน
“ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณ กทม. และผู้อำนวยการเขตต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือในการดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่ได้รับผลกระทบ การลงพื้นที่ไปยังสำนักงานเขตต่างๆ นอกจากเป็นการชี้แจงสถานการณ์ให้รับทราบแล้ว ยังเป็นการรับฟังข้อคิดเห็นจากสำนักงานเขตต่างๆ ว่าการดำเนินการต่างๆ มีปัญหาในจุดไหน มีข้อเสนอแนะอย่างไร และสปสช.จะเข้าไปสนับสนุนทางสำนักงานเขตเพิ่มเติมได้อย่างไรอีกบ้าง” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า แน่นอนว่าการที่หน่วยบริการประจำของประชาชนถูกยกเลิกเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบกับระบบการให้บริการ ซึ่งทาง กทม.ได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือให้ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม.ทั้ง 69 แห่ง ในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแลต่อเนื่อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน ให้สามารถเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข และจะมีประชาชนที่เป็นสิทธิว่างอีกบางส่วนที่จะเข้าไปรับบริการเกี่ยวกับโรคทั่วๆ ไปในอนาคต
ซึ่งทาง สปสช.จะสนับสนุนการดำเนินการต่างๆ ทั้งการร่วมมือกับสำนักงานเขตประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้สิทธิทราบข้อมูลที่ถูกต้องและไม่เกิดความตื่นตระหนก รวมทั้งได้เชื่อมต่อข้อมูลเพื่อให้ศูนย์บริการสาธารณสุขสามารถเรียกดูประวัติการรักษาจากฐานข้อมูล สปสช.ได้เลย โดยไม่ต้องให้ผู้ป่วยกลับไปขอเวชระเบียนจากคลินิกเดิม ขณะเดียวกันยังจะเพิ่มการสต๊อกยาเพื่อให้เพียงพอสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มารับบริการอีกด้วย