3 ขั้นตอน รับมือ โควิด ระบาดระลอก 2

05 มิ.ย. 2563 | 01:32 น.

“หมอธีระวัฒน์” แนะ 3 ขั้นตอนรับมือโควิดระบาดระลอก 2 เน้น ตรวจภูมิคุ้มกันกลุ่มเสี่ยงไม่แสดงอาการ

หน่วยงานด้านสาธารณสุข เริ่มกังวลเมื่อปรากฏภาพผู้คนออกเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดรอบ 2 ขึ้นมาได้  ศ. นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก " Thiravat Hemachudha" เกี่ยวกับการรับมือการระบาดโควิดระลอก 2 ไว้ เน้นย้ำเรื่องของการตรวจกลุ่มเสี่ยงที่ไม่แสดงอาการ

3 ขั้นตอน” เตรียมการป้องกันโควิด-19 ระลอก 2 
การประเมินความเสี่ยงที่จะมีการติด – แพร่ – จนถึงระบาด…หรือไม่?

ศ. นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ดร. ภก. อนันต์ชัย อัศวเมฆิน
คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาวินัย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อระหว่างบุคคลจนเป็นลูกโซ่ พร้อมด้วยศักยภาพในการการประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็วและทันถ่วงที โดยต้อง…
1.สามารถระบุยืนยันตัวและกักตัวผู้ติดเชื้อที่มีอาการได้อย่างครบถ้วน
ทั้งที่มีอาการแบบปกติ (ไข้ ไอ อ่อนเพลีย) และไม่ปกติ เช่น แสดงอาการออกไปทางระบบอื่น รวมถึงผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและทำงานให้บริการสาธารณะ เช่น คนขับรถประจำทาง ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อต่อได้สูง แนะนำการตรวจแยงจมูกด้วยวิธี PCR
 

2.การตรวจคัดกรอง (Screening)

อาจมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แม้บุคคลนั้นๆ จะไม่มีการแสดงอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม แต่ก็มีโอกาสที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในพื้นที่จำกัดหรือมีผู้คนอยู่ด้วยกันจำนวนมากเป็นเวลาหลายชั่วโมง เช่น สถานศึกษา

ในกรณีเช่นนี้ บุคคลดังกล่าวจะต้องระวังตัวสูงสุด 4 วันก่อนหน้า ที่จะทำกิจกรรม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้รับเชื้อเข้ามา และ ณ วันที่ทำกิจกรรม บุคคลนั้นจะต้องได้รับการประเมินสถานการติดเชื้อก่อน (นั่นคือ มีการติดเชื้อมาก่อนหน้า 4 วันนี้หรือนานกว่านั้นหรือไม่) ด้วยการ “เจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกัน”

ทั้งนี้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันลำดับที่หนึ่ง ที่เรียกว่า IgM จะปรากฎตัวขึ้นหลังจากการติดเชื้อแล้วประมาณ 4-6 วัน โดยถ้าตรวจพบ IgM แล้ว บุคคลนั้นจะต้องเฝ้าระวังต่อไปว่าอาการจะรุนแรงหรือไม่ ซึ่งช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้มาก ดังนั้นจึงควรได้รับการตรวจยืนยันด้วยวิธีแยงจมูก (PCR) ด้วย และจะต้องถูกกักตัว 14 วันเพื่อยืนยันว่า จะไม่มีการแพร่กระจายเชื้อต่อ แล้วจึงสามารถกักตัวที่บ้านต่ออีก 14 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเชื้อกระจายออกมาอีก

ในกรณีที่เจาะเลือด แล้วผลออกมาเป็นภูมิคุ้มกันลำดับที่สองที่เรียกว่า IgG แสดงว่ามีการติดเชื้อมาแล้วระยะหนึ่ง อย่างน้อย 12-14 วัน แม้ว่าความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตจะน้อยกว่า แต่ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ ในกรณีนี้ อาจจำเป็นต้องให้กักตัวที่บ้านเพื่อเฝ้าระวังการแพร่เชื้อ 14 วัน

ลักษณะของภูมิลำดับที่สองนี้เป็นภูมิที่สำคัญ ควรมีการตรวจหาว่า ภูมิ IgG นี้มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อ (Neutralizing antibody) ได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาบอกว่าภูมินี้จะอยู่ได้นานเพียงใด และ “ระบบภูมิคุ้มกันความจำ” (Memory immune) ของร่างกายจะทำงานได้ดีเพียงใดซี่งถ้าระบบภูมิคุ้มกันความจำทำงานได้ดีแม้ว่าจะมีการติดเชื้อซ้ำร่างกายก็จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันมาสู้กับไวรัสได้ทันที

ลักษณะของการตรวจเช่นนี้อาจต้องมีการประเมินเป็นระยะเพื่อสะท้อนให้เห็นระบบและระเบียบวินัยในการป้องกันโรคว่ายังคงเข้มแข็งอยู่หรือไม่

3.การประเมินภาพรวมทั้งประเทศว่ามีการติดเชื้อมากมายเพียงใดแล้วซึ่งเป็นประโยชน์ในการวางแผนการฉีดวัคซีนในคนที่ไม่เคยมีประวัติการติดเชื้อมาก่อน ด้วยวิธีการเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือใช้วิธีแยงจมูก 10 คนและตรวจผลเพียงครั้งเดียว (Sample pooling PCR) เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยกรณีที่การติดเชื้อที่กำลังแพร่อยู่ในระดับไม่สูงมาก ประมาณ 1-2%

(คณะทำงาน ศูนย์โรคติดต่ออุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์สภากาชาดไทยโรงพยาบาลจุฬา . วารสาร j Med Virol 2020 )

https://www.thunkhaochannel.com/news01030663/