ผอ.ร.พ.วิชิระภูเก็ต แจงชาวฮังการีไม่ได้เสียชีวิตจากโควิด

06 เม.ย. 2563 | 06:08 น.

เผยไทม์ไลน์เสียชีวิตเกิดจากอาการไขสันหลังบาดเจ็บ เนื่องจาก กระดูกสันหลังส่วนคอหัก

นายแพทย์เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต กล่าวชี้แจงกรณีมีการโพสต์ข่าวและแชร์ข้อมูลการเสียชีวิตของชาวฮังการี ว่า 

Case ชายชาวฮังการี อายุ 25 ปี

- เวลา04.30 น. 25 มีนาคม 2563 ​​ประสบอุบัติเหตุจราจร ศูนย์กู้ชีพไข่มุกนำส่งโรงพยาบาลฉลอง  

-จากนั้นเวลา 05.30 น. 25 มีนาคม  2563​​ ส่งตัวมา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต แรกรับรู้สึกตัวดี พูดคุยได้ แต่มีอาการชาและอ่อนแรงบริเวณแขน-ขาทั้งสองข้าง ผู้ป่วยไม่ได้แจ้งประวัติเสี่ยง โควิด-19 ทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ได้รับการวินิจฉัยเป็นกระดูกสันหลังส่วนคอท่อนที่ 6 หัก ร่วมกับประสาทไขสันหลังบาดเจ็บ เวลา 15.30น. 25 มีนาคม 2563 ​​เข้ารับการผ่าตัดที่ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต หลังผ่าตัดผู้ป่วยรู้สึกตัวดี พูดคุยได้ แต่ยังขยับแขน-ขาทั้งสองข้างไม่ได้ นอนติดเตียง

วันที่ 31 มีนาคม 2563 ​​​ ระหว่างนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้ป่วยเริ่มมีไข้ ซักประวัติเสี่ยงโควิด-19 กับผู้ป่วยอีกครั้ง ผู้ป่วยแจ้งว่าก่อนหน้าเกิดอุบัติเหตุไปเที่ยวผับที่บางลาติดต่อกันทุกคืนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แพทย์เจ้าของไข้ ส่งตรวจ โควิด-19 พบผล positive สั่งย้ายผู้ป่วยไป หอผู้ป่วยแยกโรคโควิด (ตึกน้อมเกล้า)

 

แพทย์เจ้าของไข้และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่สัมผัสผู้ป่วยทั้งหมด กักตัว 14 วัน

วันที่ 3เมษายน 2563 ระหว่างนอนที่ตึกน้อมเกล้า ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง พูดคุยได้ ไม่มีหายใจเหนื่อย

ผู้ป่วยหยุดหายใจในหอผู้ป่วย เวลา 02.40 น. ทำการปั้มหัวใจกู้ชีพไม่สำเร็จ

 

สรุปสาเหตุการตาย จาก ไขสันหลังบาดเจ็บ เนื่องจาก กระดูกสันหลังส่วนคอหัก เนื่องจาก อุบัติเหตุจราจร

โรคร่วม : ปอดอักเสบติดเชื้อจากไวรัสโควิด

รวมเวลารักษาตัวในโรงพยาบาล 10 วัน

ทั้งนี้มีบุคลากร โรงพยาบาล ฉลอง และ โรงพยาบาล วชิระภูเก็ต สัมผัสรวม 112 ราย 

สัมผัสเสี่ยงสูง 108 ราย ต้องกักตัวที่ มอ.วิทยาเขตภูเก็ต โรงแรมสุพิชฌาย์ และที่บ้าน 

เก็บผลตรวจแล้ว 94 ราย ผลเป็นลบ ที่เหลืออยู่ระหว่างการรอผลตรวจ

 

อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าชายชาวฮังการีรายนี้ไม่ได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด 19แต่เป็นการเสียชีวิตจาก บาดแผลและอาการที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น 

ดังนั้นขอความกรุณาอย่าแชร์ข้อมูลที่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่จะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก