คำต่อคำ “สมคิด” ขอแรง 5 กระทรวง ลุยเคลื่อนเศรษฐกิจ ย้ำนี่ไม่ใช่เรื่องตลก

08 ส.ค. 2562 | 09:51 น.

 

วันนี้ (8ส.ค.62) ที่อิมแพ็คฟอรัม เมืองทองธานี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูงในภารกิจที่ต้องการให้มีการขับเคลื่อน โดยใช้เวลา 40 นาทีในการชี้แจงและมอบนโยบาย

คำต่อคำ “สมคิด” ขอแรง 5 กระทรวง ลุยเคลื่อนเศรษฐกิจ ย้ำนี่ไม่ใช่เรื่องตลก

นายสมคิด กล่าวว่าได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล 5 กระทรวงได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัย และนวัตกรรม และกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ย้ำในประเด็นที่สำคัญและต้องอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานทุกกระทรวง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกส่วนโดยที่ไม่ปรึกษาหารือกันไม่เช่นนั้นงานก็จะไม่เดิน โดยทางปฏิบัติรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงก็จะประสานงานกับกระทรวงอื่นๆอยู่แล้ว

 

ประการแรกที่อยากยกขึ้นมาเป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ ก็คงทราบกันดีว่าเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไร ล่าสุดเมื่อมีการแถลงจากประธานาธิบดีสหรัฐเรื่องการตั้งกำแพงกับสินค้าจีนมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ผลก็เริ่มปรากฏแล้วว่าตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมาหุ้นทั่วโลกตกตามลำดับ ประเทศใหญ่ ตลาดหุ้นทั้งหลายตก 4-6% ของไทยเราก็ตกประมาณ 2% กว่า ยังไม่ถึง 3% ถือว่าฐานตลาดหุ้นไทยยังแข็งแรง แต่อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้เพียงแค่เริ่มต้น เพราะถ้าเราดูให้ดีแล้ว ในอนาคตข้างหน้าถ้าตลาดโลกเป็นอย่างนี้ การส่งออก การที่จะนั่งฝันว่ามันจะมาเป็นบวกสูงๆอย่างทีเคยเป็นมามันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดโลกจริงๆ โอกาสนั้นมีน้อย ถ้าการส่งออกเป็นอย่างนั้น การส่งออกเป็น 70% ของ จีดีพีมันก็จะมีตัวที่ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไม่สามารถไปได้ดีเท่าที่ควรเหมือนในอดีต

 

ในขณะเดียวกันการบริโภคภายใจกับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศมันขึ้นอยู่กับความมั่นใจความเชื่อมั่นของคนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือว่าคนไทยกันเองต้องมีความมั่นใจในประเทศของเรา จริงๆแล้ววันนี้ค่าเงินบาทก็แข็ง นายคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มานั่งอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว นักลงทุนไทยต้องใช้จังหวะนี้ต้องลงทุนในประเทศให้มากขึ้น ไม่ใช่ว่ามองประเทศยังมีความไม่แน่นอนแล้วไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่าในประเทศไทย สิ่งนี้ถือว่าไม่ได้ช่วยกันเลย รัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ต้องถือโอกาสนี้ลงทุนในช่วงนี้ เพราะค่าเงินบาทแข็ง อะไรที่ช่วยกันได้อยากให้ช่วยกัน

 

“ถ้าคุณไม่ลงทุนต่างประเทศจะมาลงทุนได้อย่างไร อันนี้ขอร้องกันเลยนะท่านสุพันธ์ เป็นหน้าที่ของท่าน แล้วมาบอกให้รัฐบาลกระตุ้น กระตุ้น กระตุ้นเนี่ย จะกระตุ้นยังไง ต้องเข้าใจกันด้วย”

 

คำต่อคำ “สมคิด” ขอแรง 5 กระทรวง ลุยเคลื่อนเศรษฐกิจ ย้ำนี่ไม่ใช่เรื่องตลก
 

 

เมื่อวานได้นำรมว.คลัง รมว.คมนาคม ไปร่วมการรับฟังการลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดว่าเขาจะช่วยกันอย่างไร ก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้ว่า 3-4 เดือนที่ผ่านมานั้นจะค่อนข้างช้าไปบ้างก็ตามแต่ก็ยังไม่สายเกินไป อันนี้ต้องขอให้ภาคเอกชนร่วมมือกัน และภาคประชาชน ภาคธุรกิจก็ไม่ต้องกังวลที่ผ่านมาเข้าใจว่า 3-4 เดือนอาจจะกังวลเรื่องการเมือง นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจโลก แต่ตอนนี้เรามีรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว ที่ห่วงว่าเป็นรัฐบาลผสมจะทำงานไม่ได้ก็ไม่จริง ครม.ทุกคนรู้จักกันดี

 

“ท่านอนุทินกับผมรู้จักกันมา 20 ปีแล้ว ถ้าเขาไม่ทำสิ่งที่ขอร้องก็จะไปฟ้องพ่อเขา เพราะว่าสนิทสนมกับพ่อเขาเป็นอย่างดี ท่านจุรินทร์ ก็เป็นนักศึกษารุ่นใกล้เคียงกัน ก็แต่ลำท่านก็รู้จักกันมา 20 ปีแล้ว ฉะนั้นการปรึกษาหารือไม่มีปัญหาเด็ดขาด เขาต้องการอะไรเราต้องการอะไรพูดคุยกันได้หมด ฉะนั้นประเด็นของความกังวลในความขัดแย้ง ในความไม่ลงรอยไม่มีอย่างเด็ดขาด อันนี้รับประกันได้”

 

มีเครื่องมือที่สำคัญมากที่รัฐบาลกุมอยู่ คอนโทรลอยู่คืองบประมาณแผ่นดิน เรื่องของการลงทุนรัฐวิสาหกิจเราจะพยายามทำเต็มที่ในสิ่งเหล่านี้ แต่ก็รู้ว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้มันไม่เพียงพอ ฉะนั้นกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้มันทรุดต่ำลงไปมากกว่านี้ มาตรการมีอะไรบ้างเขากำลังเตรียมการอยู่ก็น่าจะเสนอเข้าครม.ในเร็วๆนี้ ในขณะที่กระทรวงเกษตร และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กำลังเตรียมการสิ่งเหล่านี้อยู่ ซึ่งกระทรวงการคลังก็พร้อมเข้าไปร่วมมือด้วย ฉะนั้นมาตรการนี้เราเตรียมอยู่

 

ในการบริหารประเทศเราจะไม่มองระยะสั้นมากจนเกินไป ถ้ามองระยะสั้นมากเกินไปก็เหมือนยางรถคอยปะอยู่นั่น แล้วก็มานั่งภาวนาว่าเมื่อไรมันจะเกิน 5% อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องของการต่อยอด ฟื้นฟูการปฏิรูปโครงสร้างต่างๆเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นประการที่สอง กระทรวงต่างๆที่ดูแลอยู่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากเลยคือการต่อยอดโครงการที่รัฐบาลที่แล้วทำอยู่ และต้องแสวงความร่วมมือกับกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นภารกิจหลักๆจะหมุนเวียนอยู่ 3-4 มิติ เพื่อให้อนาคตเรามีรากฐานที่แข็งแรง

 

มิติที่หนึ่ง คือเรื่องของขีดความสามารถของประเทศในการที่จะแข่งขันกับชาวบ้านเขาได้ในอนาคตข้างหน้า อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าประเทศต้องการเติบโตระดับ 5% ขึ้นไป เพื่อให้คนมีงานทำ ถ้าเราไม่ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของเราให้ทันสมัย ให้รับมือกับอนาคตได้ อย่าหวังว่าจะมีการเติบโตในระดับที่สูงเลย ผมก็เคยกล่าวแล้วว่าประเทศของเราประเทศอยู่ได้ด้วยการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นสินค้าของเรายังมีเกษตรพื้นๆ มียานยนต์ มีชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นับตัวได้เลย ถ้าคุณมองย้อนไป 30-40 ปี โครงสร้างการส่งออกของเราอยู่ภายใต้อุตสาหกรรมเหล่านี้ทั้งสิ้นไม่ใช่ไม่สำคัญแต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้มีการกระจายฐานกำลังการผลิตในเมืองไทยให้มันเข้มแข็งได้ พอเศรษฐกิจจีน เศรษฐกิจโลกมีปัญหาติดลบกันระนาวเลย

 

ฉะนั้นความสามารถต่างๆเหล่านี้เรื่องแรก คือ EEC ไม่ใช่เป็นนโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ว่าทำอย่างไรให้ประเทศไทยสามารถสร้างฐานผลิต สร้างฐานคมนาคมขนส่งที่ไปสู่ตลาดโลกได้ดีที่สุด จึงแบ่ง EEC เป็น 3 เฟส เฟสทีหนึ่งคือการขายแนวความคิด จะต้องสร้างความเชื่อถือให้เกิดขึ้นว่าเป็นประโยชน์ในการลงทุนกับต่างประเทศ ช่วงสองปีแรกที่ผ่านมาเราขายแนวความคิดว่า EEC เป็นเบ้าหลอมต่อยอดจากอีสเทิร์นซีบอร์ดที่มีนักลงทุนเต็มไปหมด ทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนอกเหนือไปที่จีน เพราะหากมองย้อนไป 4-5 ที่ผ่านมา นักลงทุนทั่วโลกไปที่จีน แต่ถ้าไม่มาทางเราบ้างการลงทุนก็ร่อยหรอลงไป ขณะที่เวียดนามกำลังขึ้นไป พม่ากำลังขายคอนเซ็ปของเขา เราก็เกิด EEC ขึ้นมา ต่อยอดจากสิ่งที่เราเป็นอยู่

 

ถามตัวเองว่า EEC เขาจะเชื่อถือได้อย่างไร จะมาได้อย่างไร จะขายคอนเซ็ปได้อย่างไร ก็เป็นแหล่งที่มีความทันสมัยที่มีทุกอย่างพร้อมมูลสำหรับอุตสาหกรรมในอนาคตของเรา การคมนาคมโครงการลงทุนใหญ่จึงเกิดขึ้น ซึ่งโครงการแหลมฉบัง มาบตาพุด รถไฟเชื่อมสามสนามบิน เมืองการบิน อู่ตะเภานี่คือสิ่งที่อเมซซิ่งมากๆ คมนาคมจะมีส่วนสำคัญในการปูพื้นฐานของเส้นทางคมนาคมทุกอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าเรื่องของดิจิทัล เมื่อวานนี้ทีโอทีกับแคทเขามาเสนอผมดีใจมากที่เขาคิดอย่างนี้ เขาบอกว่าเขาต้องการเน้นการลงทุนดิจิทัลใน EEC เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ถนนหนทาง ก็บอกเขาว่าก็ทำโครงการเสนอขึ้นมารัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนอยู่แล้ว

 

“และได้เรียนท่านพุทธิพงษ์ รมว.ดีอีว่า 5G ปีหน้าต้องเกิดให้ได้ เพราะอุตสาหกรรมทันสมัยเหล่านั้นถ้า 5G ไม่เกิดคุณอย่าหวังว่าอุตสาหกรรมเหล่านั้นจะเกิดได้เลย เพราะนั้นคือสิ่งที่จะสร้างความน่าเขื่อถือเพื่อให้ต่างประเทศมั่นใจว่าคอนเซ็ปนี้เป็นไปได้ และที่ผ่านมาไม่ว่าประเทศใหญ่ๆทุกประเทศต่างยอมรับหมดแล้วว่าของเราเกิดแล้ว จีนกับญี่ปุ่นถึงขนาดบอกว่าต้องมีโครงการร่วมกันใน EEC เป็นแห่งแรกอันนี้คือเครื่องหมายการีนตี”

 

ในเฟสสอง ทำอย่างไรให้นักลงทุนเหล่านั้นมาที่ประเทศไทยให้มากที่สุด จะเชื่อมโยงกับเฟสที่สอง แต่เฟสที่สองวันก่อนหอการค้าญี่ปุ่นมาหาเขาพูดในบางประเด็นซึ่งเราต้องซีเรียสกับเราแล้ว เพราะเขาก็ต้องคิดเหมือนกันว่าเขาจะมาเมืองไทยหรือไม่ เขาบอกว่าเขาไม่ได้มาขายแค่ส่งออกแต่เขาขายเซอร์วิสในประเทศด้วย ฉะนั้นการเติบโตที่เพียงพอจำเป็นอย่างยิ่งในการดึงเขาเข้ามาลงทุนในประเทศเรา ซึ่งกระทรวงการคลังรับทราบแล้วว่าจะต้องมาตรการร่วมกับกระทรวงอื่นๆ และเรื่องของคนทรัพยากรมนุษย์เราพูดมานานแล้วแต่การขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติไม่ใช่ของง่ายเลย ฉะนั้นไม่ว่าภาครัฐกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กระทรวงแรงงาน ต้องทำจริงๆจังว่าจะเตรียมคนรองรับ EEC ได้อย่างไร สิ่งที่คุณอบรมสั่งสอนเขา อาชีวะที่มีมันไม่สามารถรองรับอนาคตได้เพียงพอ ขอเรียนตามความสัตย์จริง ฉะนั้นความร่วมมือกันทั้งสามกระทรวงเป็นสิ่งจำเป็น

 

“ฉะนั้นโครงการต่างๆทางสำนักงบประมาณจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ที่เกี่ยวกับทิศทางของการพัฒนาบุคลากร ถ้าสถาบันการศึกษาใดยังไม่เดินทางเส้นทางนี้ก็มีการปรับแก้แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะผลิตบุคลากรออกมาไม่ได้ จะผลิตตามใจฉันไม่ได้ สภาวิศวะ สภาแพทย์ทั้งหลายก็ต้องดูว่าอนาคตเป็นอย่างไร เมื่อบ้านเมืองต้องเปลี่ยนเราต้องเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้ต้องคิดว่ามีโครงการอะไรบ้าง วันนี้เริ่มไปบางโครงการแล้วแต่ต้องการการต่อยอด”

 

ในขณะเดียวกันภาคเอกชนบีโอไอเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญให้แรงจูงใจมากทีเดียวในการลงทุนในเรื่องเรื่องของการศึกษา การสร้างนักวิจัย การสร้างบุคลากรต้องติดตามกับบีโอไอ อย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ส่งเสริม ตอนนี้ไปถึงจุดที่ว่าถ้าคุณมีบริษัทคุณตั้งสถาบัน คุณอบรมบุคลากร คุณได้ส่วนลดภาษีมากมายจริงๆ แต่เป็นหน้าที่ของเอกชนที่ต้องช่วยภาครัฐ หลายสิ่งติดเรื่องกฎหมาย เราเริ่มลงให้ไปลงที่ EEC เพื่อเปลี่ยนแปลงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต

 

ที่เมืองจีนเติบโตได้พัฒนาได้เพราะอะไร เขาใช้เซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง เป็นฐาน ทดลองสิ่งใหม่ๆทำได้ผลแล้วเปลี่ยนแปลงกฎหมายทั้งประเทศ แต่ของเราจะเปลี่ยนแปลงก็ติดกฎหมายดั้งเดิม ไปสู่ดิจิทัลแล้วก็ติดกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แน่นอน ต้องใช้ EEC ทดสอบ ทดลองว่าอะไรเหมาะกับประเทศไทยในอนาคตข้างหน้า การศึกษาแบบไหน ผังเมืองแบบไหน สิ่งแวดล้อมแบบไหน ถ้าได้ผลประชาชนยอมรับเขาขยายทั่วประเทศ นี่คือการปฏิรูป ไม่ใช่พูดสวยหรูอยู่ในกระดาษมากี่ปีกี่ชาติ

 

เรื่องของเงินบาท แข็งเกินไป เมือแข็งเกินไปการที่เขาจะมาลงทุนเพื่อส่งออกเขาก็บอกว่าส่งออกแล้วต้องขาดทุนแล้วจะให้เขามาลงทุนได้อย่างไร ก็พยายามบอกเขาว่าเราพยายามดูแลอยู่ แต่ในภาวะข้างหน้าที่มีความผันผวนทั้งภายในและต่างประเทศ ตรงนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการใกล้ชิดระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อทำให้นโยบายการเงินกับนโยบายการคลังไปด้วยกัน ปรึกษาหารือกันใกล้ชิด ไม่ใช่ต่างคนต่างไป

 

“จะบอกว่าผมอิสระ เมืองไทยไม่มีแล้วอิสระ ฉะนั้นการเงินการคลังมันต้องไปด้วยกัน มือซ้ายกับมือขวาต้องไปด้วยกัน จะมีการตั้งคณะกรรมการนี้เร็วๆนี้ และทุกฝ่ายเห็นชอบร่วมกันแล้ว”

 

เรื่องหนึ่งที่เขาพูดขึ้นมาคือเรื่องของการอำนวยความสะดวก อันนี้เป็นเรื่องสำคัญเราทำได้ดีมากในช่วงที่ผ่านมา ต่อไปก็ยังมีเรื่องเล็กๆน้อยๆจิปาถะ วันสต็อปเซอร์วิสต้องทำให้ได้ กรมศุลกากรต้องเป็นหลักสำคัญแล้วร่วมกับฝ่ายอื่นเขา ถ้าแก้ตรงนี้ได้คะแนนดูอิ้งบิสิเนสก็ดีขึ้นด้วย ประเทศก็ได้ประโยชน์ ดังนั้นคือสิ่งที่ต้องทำให้เขา เพื่อให้เขามาอยู่กับเรามากที่สุด

 

งานของกระทรวงการต่างประเทศ ถ้าท่านเข็นดีดี 3-4 ปีที่ผ่านมาเราเปลี่ยนแปลงแรงมาก เราใช้เวทีโลก อาเซียน ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นพระเอกคนหนึ่งทีมีเสียงดังในอาเซียน ถามว่าทำไมต้องประชุม AMEX ถามว่าจะขายให้นักลงทุนมาลงทุนในไทยขายออกไหม ขายไม่ออกประเทศเดียว เพราะประแทศเล็กเกินไป กำลังซื้อน้อย แต่ถ้าเราเอาประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง บวก CLMV การเชื่อมโยง เขาจะมาลงทุน ถามว่าประเทศอย่างจีนญี่ปุ่น อินเดีย สนใจลาว พม่า เวียดนาม มาเลเซีย ไหม สนใจแน่นอน อัตราเติบโต 6-8% ตลอดเวลา ก็อยู่ที่ยุทธศาสตร์ว่าจะทำยังไงให้เป็นฮับของ CLMVT

 

“เราเล่นไพ่สามใบ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา มีความสมดุลไม่มีเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้นเราสามารถดึงจีนเป็นประเทศแรกที่เชื่อมโยงเบลแอนด์โร้ดของจีน เราเป็นประเทศที่สามารถดึงญี่ปุ่นเข้ามาในเมืองไทยมากที่สุด  ไพ่สองใบนี้ไม่ง่ายเลยนะครับ เราถึงได้มีองค์ประชุมระดับสูงระหว่างไทย-จีน และไทย-ญี่ปุ่น กับอเมริกา เราพันธมิตรหลัก เรื่องความมั่นคงเป็นสิ่งที่อเมริกาต้องคิดถึงประเทศไทย แรงบีบแรงอะไรของอเมริกาจะหันเป็นสิ่งที่มาสนับสนุนไทยด้วยนโยบายความมั่นคงของอเมริกา เราเป็นฐานให้เขามากี่สิบปี รู้กันอยู่แล้ว ไม่ต้องพูด แต่เราจะต้องเดิมเกมของสิ่งเหล่านี้ ส่วนฮ่องกง มาเก๊า กวางตุ้ง หัวหอกใหม่การลงทุนของจีนในอาเซียน เขาลงข้างล่างนี้แล้ว เรากำลังจะฟุบกับ GVA เพื่อให้การลงทุนของเขามาใช้ไทยเป็นฮับเพื่อไปสู่ CLMV และอาเซียน

 

หอการค้าญี่ปุ่นที่มาพบได้พูดมาสองคำ เขาบอกว่าหวังจะเห็นไทยเป็นแกนหลักเชื่อมโยงอาเซ็ป อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมาจากต้มยำกุ้ง อาเซียนบวกสามและอาเซียนบวกหก แล้วทุกอย่างจะจบประมาณสิ้นปี อาเซียนคือหัวใจ แกนกลางคือประเทศไทย ที่จะต้องเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น และ CP PPP ถ้าไม่เกิดญี่ปุ่นย้ายฐานแน่นอน ทำอย่างไรจะเข้าไปแก้ปัญหาเรื่องจิปาถะให้น้อยที่สุด ให้เป็นจุดยึดเหนี่ยวของอาเซียน อาเซ็ป และอินเดีย นโยบายคือมองตะวันออก มองตะวันตก เขามองมาที่ไทย เกาหลีใต้กำลังจะมาไทยต้นเดือนหน้านโยบายเขามองมาทางใต้คือมองมาที่ไทยนอกจากเวียดนาม

 

“ฉะนั้นเวทีเหล่านี้ต้องเชื่อใจ ไม่ว่ารัฐบาล เอกชน ฝ่ายค้านในสภาถ้าไม่ช่วยกัน คนป่วยที่ชื่อเอเชียเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันจะกลายเป็นพระเอกได้อย่างไร ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ ประเทศจะเป็น Somebody ไม่ใช่ Nobody การลงทุนต่างๆมีศักยภาพทั้งนั้น ใครจะไปฝากผีฝากไข้กับประเทศที่ไม่มีอนาคต มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ระเบิด ฉะนั้นฝากสื่อมวลชนด้วยการลงข่าวต้องพอดีพอดี”

 

ส่วนเรื่องของการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆในคลัสเตอร์ต่างๆ ไม่ใช่ 12 อุตสาหกรรมอย่างที่เราเคยออกก่อนหน้านี่ กระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอเพิ่ม 2-3 ตัวที่สำคัญมาก ต้องไม่ลืมคือเรื่องของเกษตรที่ไม่ใช่เกษตรดั้งเดิม แต่ต้องเพิ่มเทคโนโลยี มูลค่า ให้เกษตร และเรื่องท่องเที่ยวอย่าคิดแค่ว่าเอาคนมาเที่ยว จริงๆแล้วมันคือร่มใบใหญ่ที่นำไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะทำให้หุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น คนไทยจะมีงานทำ เพราะส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม ถ้าสามารถไปสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ 30-40 ล้านคนต่อปี กระจายไปในธุรกิจต่างๆคนไทยจะไม่ตกงานถ้าเรารีบสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา แต่ไม่ใช่แค่รอให้เขาเข้ามา ต้องสร้างลักษณะคลัสเตอร์สำคัญมากๆ

 

“ไบโออีโคนอมี่ บีโอไอจะประกาศว่าจะอยู่ที่ไหนจังหวัดไหนพื้นที่อะไร มาตรการภาษีที่จะเอาไปช่วย การสนับสนุน เงินของบีโอไอ งบความสามารถในการแข่งขันมีหมื่นล้านนะครับ ใช้ไปไม่กี่ร้อยล้านต้องมาใช้ในสิ่งเหล่านี้ เรื่องของไบโอ คลัสเตอร์ใหม่ๆ สิ่งที่สร้างอนาคตได้ ต้องกล้าทำตั้งแต่วันนี้ ได้ฝากนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการอีอีซีไปแล้วว่าเรื่องเกษตร อุตสาหกรรม เซอร์วิส ลอจิสติกส์ เป็นสิ่งสำคัญ”

 

กระทรวงอุตสาหกรรม ถ้ามองเกษตรให้ดีดีทำไมยากจน เพราะเป็นการตัดตอนระหว่างกระทรวงเกษตรที่เน้นเรื่องการผลิต อุตสาหกรรมเน้นแค่อุตสาหกรรม แต่ไม่ได้มามองมาการต่อยอดของอุตสาหกรรมเกษตร เป็นแค่กรมเล็กๆอยู่ในกระทรวงอุตสาหกรรม งานพัฒนาเกษตรไปอยู่ที่ธกส. ซึ่งผิดฝาผิดตัว กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายแล้วว่าเขาจะต้องจัดระบบตรงนี้ใหม่ เพราะโครงสร้างกระทรวงอุตสาหกรรม 40-50 ปีแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นไปไม่ได้

 

สำหรับเรื่องดิจิทัล เอสเอ็มอีคือกระดูกสันหลังของไทย คือกลุ่มที่ไม่ค่อยตระหนักหรือตื่นตัว หากไอโอที หรือ เอไอเข้ามา ซัพพลายจีนและญี่ปุ่นเข้ามา เป็นดิจิทัลทั้งหมด ตกเวทีหมดเลย เพราะอีกหน่อยจะเชื่อมโยงด้วยอินเตอร์เน็ต การสั่งการมาจากญี่ปุ่น กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายแล้วต้องสานต่อ ศูนย์ที่อยู่ทั่วประเทศต้องขยายรองรับสิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องห่วงบริษัทใหญ่ เพราะเอสเอ็มอีไม่มีกำลังพอทำแบบบริษัทใหญ่ได้ นโยบายของการนิคมต้องเอื้อให้เอสเอ็มอีเข้าไปใช้ประโยชน์จากดิจิทัลด้วย ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าสามารถแปลงภาพการผลิต ภาคบริการไปสู่ดิจิทัลได้ นั่นคือการเตรียมอนาคตใช่ไหม

คำต่อคำ “สมคิด” ขอแรง 5 กระทรวง ลุยเคลื่อนเศรษฐกิจ ย้ำนี่ไม่ใช่เรื่องตลก

 

เรื่องของความเหลื่อมล้ำฐานราก การรักษาเสถยีรภาพราคา ไม่ว่าประกันราคา ประกันรายได้อะไรก็แล้วแต่เป็นการทำเพื่อบรรเทาให้คนมีรายได้เพียงพอในตอนที่ผลผลิตราคาต่ำ แต่เกษตรต้องทำให้เขาเข้มแข็ง รวมตัวกันได้ เพื่อให้เขามีกำลังความสามารถให้เขาใช้เทคโนโลยี มีวิธีการใหม่ๆ มีการผลิตสินค้าใหม่ๆ มีการยกระดับผลผลิตที่เขามีอยู่ และสามารถค้าขายจังหวัดอื่นและต่างประเทศได้ผ่านอีคอมเมิร์ซ

 

“ถ้าลองโยนเงินไปเท่าๆกันเงินจะหายไปทันที คุณไปถามชาวนาสิว่าจะเลิกใช้ยาฆ่าแมลงหรือไม่เขาก็ยังใช้อยู่ต่อให้คุณพูดแทบตายเพราะความเชื่อเขาเป็นแบบนั้น บอกให้เขาเปลี่ยนแปลงการผลิตไปสู่พืชที่หลากหลาย เขาจะทำไหม คนจนมันจนนะ ผลิตแล้วขายไม่ได้ใครจะไปลอง แต่เขามีเกษตรยุคใหม่เป็นผู้นำหมู่บ้าน สินเชื่อเข้าไป กระทรวงอุดมศึกษาฯต้องเอาเทคโนโลยีเข้าไปช่วย การคลังต้องเข้าไปช่วย วิสาหกิจชุมชน ท่องเทีย่วชุมชุน กระทรวงคมนาคมในอดีตรับนโยบายว่ารถไฟต้องไปถึงชุมชน เชื่อมต่อถนนหนทางไปสู่ชนบทเพื่อให้การท่องเที่ยวไปถึงเขา สินค้าเขาจะได้ขายได้ เขาจะได้มีรายได้ การท่องเที่ยวจะได้เกิดได้ โอท็อป ก็ขายได้  ไม่ใช่ไปตั้งร้านข้างถนนใครจะไปซื้อ ถ้าเราทำถึงเขาได้เขาก็ไม่ต้องเข้ามาในกรุงเทพ ธุรกิจเกิดในชนบทได้ กระทรวงการคลังมาตรการภาษีมีอยู่แล้วต้องมาช่วยตรงนี้ กองทุนหมู่บ้าน  กระทรวงท่องเที่ยว กระทรวงเกษตร และอื่นๆต้องมาช่วยกัน ไม่อย่างนั้นมันไม่เกิด ถ้าหมื่นรายแข็งแรงได้ ไม่เกิน 5 ปีก็จะกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ต้องสร้างผู้นำให้เกิดแล้วจะมีผู้ตามเอง”

 

บัตรสวัสดิการไม่ใช่เครื่องมือหาเสียง ประเทศไทยเหมือนไอติมกว่าจะถึงมือชาวบ้านมันละลาย ส่วนนี้เราวางพื้นฐานให้อนาคตข้างหน้าคนแก่ สตรี มีครรภ์ เด็ก เราสามารถส่งเขาไปได้ แต่สิ่งสำคัญคือแหล่งรายได้ที่มั่นคงถาวรมาจากไหน อันนี้คือกระทรวงการคลังกับสำนักงบประมาณต้องช่วยกันว่าทำอย่างไรจะลดความเหลื่อมล้ำ แต่ถ้าการศึกษาไม่ถึงเขาก็อย่าหวัง ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการฯ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ คุณต้องพยายามเปลี่ยนแปลง แต่อันนี้อยู่นอกขอบเขตของผม

 

ทำอย่างไรให้มันยั่งยืนได้ กระทรวงการคลังแน่นอน มีคำถามว่าทำไมต้องขาดดุล เพราะมีความจำเป็นในการพัฒนา ขณะเดียวกันอัตราการเติบโตของการสร้างรายได้มันไม่ทันกับรายจ่ายที่ต้องใช้ ไม่ใช้จ่ายได้ไหม คุณก็แข่งกับกัมพูชาแน่นอน ถ้าต้องใช้จ่ายต้องดูว่าฐานภาษีเพียงพอหรือไม่ กรมสรรพากรต้องดู เรื่องของค่าลดหย่อน เรื่องการปรับปรุงโครงสร้าง  อีคอมเมิร์ซต้องตามเก็บ เอาของต่างประเทศก่อน แล้วตามด้วยของไทย คนที่อยู่นอกระบบต้องเก็บมาให้หมด อีกหน่อยเขาก็เข้ามาเอง ถ้าโชว์ห่วยไม่มีเครื่องรูดบัตร ถ้าไม่เข้าระบบ คุณขายไม่ได้ คนติดตั้งเครื่องขายได้ เมื่อคุณเข้าระบบสรรพากรก็ไปเล่นงานคุณ เริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งนั้นนั่นคือการเอาผิด นั่นคือการสร้างฐานภาษีไม่เช่นนั้นจะเอาเงินมาจากไหน

 

เรื่องของพลังงานยุคใหม่มองไปที่พลังงานทดแทน  ให้ชุมชนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม สร้างรายได้กระจายความเจริญ

 

“ทั้งหมดที่พูดมาเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ ถ้าเราไม่ช่วยกันเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และขอความร่วมมือเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องตลก เรื่องที่เราเผชิญข้างหน้าก็ไม่ใช่เรื่องตลก เศรษฐกิจข้างนอกมันไม่ดีจริงๆคุณบอกว่าต้องเสกให้ได้ ต้องกระตุ้นให้ได้ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการศึกษา ระบบไม่เปลี่ยนเลย แล้วประเทศจะเดินต่อไปยังไง มองไปดูข้างๆ อินโดนีเซีย เวียดนามเขาชิงธงเพื่อจะมาเป็นผู้นำอาเซียน ถ้าเราไม่แข่งกับเขา เราไปยาก ผมหวังอย่างยิ่งว่าความมั่นใจจะเกิดขึ้น ไม่มีคำว่าไม่ลงรอยกันเด็ดขาด ท่านไม่ต้องกังวล กระทรวงทุกกระทรวงจะไปด้วยกันอย่างสามัคคี เพราะเราทำงานให้ประเทศ”