ทำไมเงินบาทถึงแข็งค่า และจะยังแข็งค่าต่อไหม?

06 เม.ย. 2562 | 04:00 น.

Financial Market views : ทำไมเงินบาทถึงแข็งค่า และจะยังแข็งค่าต่อไหม?

เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากปลายปีก่อนเป็นผลจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศ สำหรับปัจจัยต่างประเทศนั้นมาจากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาทรงตัว เงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นในปีนี้ สำหรับปัจจัยในประเทศคือดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลในระดับสูง การขายทองคำเพื่อทำกำไร การที่บริษัทใหญ่นำเงินลงทุนจากต่างประเทศกลับไทย และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับสูงขึ้น 

อีไอซีประเมินว่า ณ สิ้นปี 2019 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากสิ้นปีก่อน โดยเป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะชะลอลง การดำเนินนโยบายของ Fed ที่ผ่อนคลายขึ้น สงครามการค้าที่มีแนวโน้มคลี่คลายลงต่อไป และดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่จะยังเกินดุลในระดับสูง ซึ่งอีไอซีประเมินว่า เงินบาทจะอยู่ในกรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


ความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก โดยเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเคยแข็งค่าแตะระดับ 31.1 ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 6 ปี ส่วนดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยอยู่ที่ 121 ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 1997 อย่างไรก็ตาม เงินบาทกลับอ่อนค่าลงมาหลังจากนั้นและล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 31.6-31.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อดูที่ดัชนีความผันผวนของเงินบาทเปรียบเทียบกับสกุลอื่นในภูมิภาคแล้ว (รูปที่ 1) พบว่าความผันผวนของเงินบาทปรับสูงขึ้นมาต่อเนื่องจากที่เคยต่ำกว่าค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค และความผันผวนเงินบาทในปัจจุบันก็อยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (3 ปีย้อนหลัง) บทความนี้จะขอกล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงที่ผ่านมา และให้มุมมองต่อแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะต่อไป

 

รูปที่ 1: ความผันผวนของเงินบาทปรับสูงขึ้นมาต่อเนื่องจากที่เคยต่ำกว่าค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค
pic_note_01.png

สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนในช่วงที่ผ่านมา

เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากปลายปีก่อน โดยปัจจัยสำคัญมาจากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่กลับมาทรงตัวหลังแข็งค่าขึ้นไปมากในช่วงก่อนหน้า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องนับจากปลายปีที่แล้วสอดคล้องกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาทรงตัวในช่วงปลายปีที่แล้วหลังแข็งค่าขึ้นมากในปี 2018 (รูปที่ 2) โดยการแข็งค่าที่ชะลอลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นมาจาก 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวชะลอลงตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน (รูปที่ 3 ซ้ายมือ) และเมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจยุโรปจะพบว่าส่วนต่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปปรับลดลงในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว อีกทั้งมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาวะเศรษฐกิจก็ส่งผลต่อค่าเงินเช่นกัน โดยเมื่อดูดัชนีการปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ1  (data revision index ที่คำนวณจาก GDP) ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เทียบกับเศรษฐกิจโลก จะพบว่าปรับลดลงเช่นกัน (รูปที่ 4) ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ 2) การดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ที่ผ่อนคลายขึ้น (dovish) (รูปที่ 3 ขวามือ) หลัง Fed เริ่มส่งสัญญาณ patient approach ตั้งแต่ต้นปีและ dot plot ล่าสุดจากการประชุมเดือนมีนาคมสะท้อนว่า Fed จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ อีกทั้ง Fed ยังประกาศหยุดการลดขนาดงบดุลลงในเดือนกันยายน 2019 และ 3) ความเสี่ยงทั้งในประเทศและต่างประเทศปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจาก government shutdown และสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
 

รูปที่ 2: ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัว
pic_note_02.png


รูปที่ 3: ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากต้นปี โดยเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีสัญญาณชะลอลง และการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ที่ผ่อนคลายลง pic_note_03.png

รูปที่ 4: ดัชนีการปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เทียบกับเศรษฐกิจโลกปรับลดลง สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

pic_note_04.png

เงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นในปีนี้และความต้องการเงินบาทอันเนื่องมาจากเสถียรภาพต่างประเทศของไทยที่ยังคงแข็งแกร่งก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเสริมการแข็งค่าของเงินบาท นอกจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วความสัมพันธ์ของเงินบาทและค่าเงินสกุลอื่นก็มีผลเช่นกัน โดยเงินหยวนที่เคยปรับอ่อนค่าลงมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าตามเป็นบางช่วงเช่นกัน อย่างไรก็ดีเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี 2018 หลังสงครามการค้ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นและภาครัฐของจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับดีขึ้นเงินหยวนจึงแข็งค่า แรงกดดันที่เคยทำให้เงินบาทอ่อนค่าจึงมีน้อยลงตามไปด้วย สำหรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกในช่วงที่ผ่านมาก็ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นกัน โดยความผันผวนที่สูงขึ้นทำให้นักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงลง (risk-off sentiment) จึงมีความต้องการถือสินทรัพย์และค่าเงินที่มีความปลอดภัยหรือมีเสถียรภาพสูง เงินบาทจึงเป็นที่ต้องการในช่วงที่ผ่านมา โดยการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมีทิศทางสอดคล้องกับการแข็งค่าของเงินเยนและราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น (รูปที่ 5) ซึ่งสินทรัพย์ทั้งสองต่างก็เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven assets) ด้วยกันทั้งสิ้น นอกจากนี้ หากดูความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินเยนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) จะพบว่ามีความสัมพันธ์ที่ตรงข้ามกัน (correlation เป็นลบ) กล่าวคือ ในยามที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลงและนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นเกิดเป็น risk-off sentiment ค่าเงินเยนจะปรับแข็งค่าขึ้น ซึ่งพบว่าความสัมพันธ์นี้กลับมาชัดเจนขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา (รูปที่ 6) 

รูปที่ 5: ความผันผวนที่สูงขึ้นส่งผลให้นักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงลง (risk-off sentiment) จึงมีความต้องการถือสินทรัพย์และค่าเงินที่เสถียรภาพสูง
pic_note_05.png
รูปที่ 6: ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงหรือความผันผวนของตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้น (risk-off sentiment) ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีก่อน
pic_note_06.png
 
ปัจจัยในประเทศทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลในระดับสูง การขายทองคำเพื่อทำกำไร การที่บริษัทใหญ่นำเงินลงทุนจากต่างประเทศกลับไทย และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับสูงขึ้น ก็ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ในเดือนธันวาคม 2018 พบว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุลกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่กลับเข้ามาไทยสูงขึ้นมากและการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ลดลง นอกจากนี้ราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้นักลงทุนทองคำในไทยบางส่วนขายทองคำในรูปสกุลเงินดอลลาร์และแลกเป็นเงินบาทเพื่อทำกำไร อีกทั้งยังมีปัจจัยเฉพาะระยะสั้นคือ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่บางแห่งได้นำเงินลงทุนในต่างประเทศกลับเข้ามายังไทยเพื่อจ่ายเงินปันผล จึงขายเงินดอลลาร์สหรัฐ และซื้อเงินบาทเป็นจำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้มีความต้องการเงินบาทที่สูงในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค่าเงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อการแข็งค่าของเงินบาทนั้น อีไอซีประเมินว่า มีผลกระทบอยู่บ้างแต่ในวงจำกัด เนื่องจากการศึกษาบ่งชี้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ มีผลต่อค่าเงินบาทค่อนข้างน้อย และถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับสูงขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.45% ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ ที่มีค่าราว 0.25% (รูปที่ 7)

 

รูปที่ 7: อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.45% ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ ที่มีค่าราว 0.25%
pic_note_07.png
ปัจจัยเชิงโครงสร้างด้านอัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำก็ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ในระยะปานกลางถึงยาว กล่าวคือ อัตราเงินเฟ้อไทยที่ระดับประมาณ 1% ในปีที่ผ่านมาอยู่ต่ำกว่าเงินเฟ้อของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาครวมถึงสหรัฐฯ (รูปที่ 8) ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำนี้จะส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาวได้ โดยอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่เงินเฟ้อต่ำจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเพื่อทำให้ราคาสินค้าที่แท้จริงปรับเข้าใกล้ราคาสินค้าที่แท้จริงในประเทศที่อัตราเงินเฟ้อสูงกว่า (ตามกฎ purchasing power parity ที่กล่าวว่าราคาสินค้าในแต่ละประเทศหลังจากคำนึงอัตราเงินเฟ้อด้วยแล้วจะต้องมีมูลค่าเท่ากัน) ดังนั้นการที่เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ผลักดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว

 
รูปที่ 8: ในปีที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่ระดับประมาณ 1% อยู่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่
pic_note_08.png
อย่างไรก็ตาม ในเดือนที่ผ่านมาก็มีปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเป็นบางช่วงเช่นกัน คือ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวที่ออกมาดีกว่าคาด การปรับนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก ตัวเลขเศรษฐกิจไทยและความไม่แน่นอนในประเทศ โดยตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ไตรมาส 4 ปีที่แล้วขยายตัว 2.6% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 2.3% อีกทั้งตัวเลขการว่างงาน (initial jobless claims) ก็ปรับลดลงและออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดในช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้การปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักทั้ง ECB BOJ และ Bank of Canada ที่ต่างมีท่าที dovish มากขึ้นจึงทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประชุม ECB สำหรับความกังวลที่เศรษฐกิจโลกอาจชะลอต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณปรับดีขึ้นก็ทำให้มีความต้องการถือเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ Brexit ก็ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงซึ่งเป็นปัจจัยเสริมการแข็งค่าของดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน สำหรับปัจจัยในประเทศไทยที่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนลงมาในบางจังหวะคือ เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกจากทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งและตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทั้งอัตราเงินเฟ้อและตัวเลขการส่งออก (เดือนมกราคม) ด้วยเหตุนี้จึงเห็นเงินบาทปรับอ่อนค่าลงมาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

มุมมองอัตราแลกเปลี่ยนในระยะต่อไป

อีไอซีประเมินว่า ณ สิ้นปี 2019 เงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากสิ้นปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐที่อาจอ่อนค่าลง เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าลงได้จาก 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวเหนือระดับศักยภาพมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังจากที่ภาวะการเงินตึงตัวขึ้นต่อเนื่องปี 2018 อีกทั้งมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีออกมาได้น้อยลงในปีนี้ และ 2) Fed มีแนวโน้มดำเนินนโยบายที่ dovish มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน โดยหากดูเครื่องชี้ที่แสดงมุมมองของตลาดต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed จะพบว่าตลาดได้ปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ลงมาก่อนหน้านี้แล้ว (รูปที่ 9) และล่าสุดนั้นผู้ร่วมตลาดมองว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทั้งในปีนี้และปีหน้า อย่างละ 1 ครั้ง (0.25%) ซึ่งแตกต่างจาก dot plot ของ Fed ที่ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยตลอดปีนี้แต่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีหน้า ดังนั้นด้วยมุมมองของผู้ร่วมตลาดประกอบกับการสื่อสารของคณะกรรมการ FOMC ที่กล่าวว่า Fed จะดำเนินนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป (patient approach) และรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจึงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ สำหรับปัจจัยเรื่องค่าเงินหยวนนั้น อีไอซีมองว่า เงินหยวนอาจแข็งค่าต่อไปได้หากสงครามการค้าคลี่คลายลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 เนื่องจากเริ่มมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ และในระยะต่อไปทรัมป์ก็น่าจะมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้นต่อไปเพื่อต้องการปรับท่าทีทางการเมืองไปสู่การเลือกตั้งในปี 2020 โดยเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นนั้นจะเป็นปัจจัยเสริมการแข็งค่าของเงินบาทได้


รูปที่ 9: ตลาดปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ลงมาตั้งแต่พฤศจิกายนปีก่อน

pic_note_09.png
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ อีไอซีประเมินว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะยังเกินดุลในระดับสูงและภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะปรับดีขึ้นตามความไม่แน่นอนที่อาจปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีจะเป็นปัจจัยสนับสนุนเงินบาทได้โดยในปี 2019 นี้ อีไอซีประเมินว่า ดุลบัญชีเดินสะพัด (current account) จะยังคงเกินดุลในระดับสูงที่ประมาณ 6.60% ต่อ GDP จากแนวโน้มการขยายตัวของการส่งออกไทยและการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ประกอบกับเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีแนวโน้มไหลกลับเข้าสู่ตลาดทุนของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่หลังความเชื่อมั่นมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น (risk-on sentiment) และ valuation ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตซึ่งสังเกตุได้จาก P/E ratio (รูปที่ 10) ตลาดหุ้นไทยจึงน่าจะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายทำให้มีเงินทุนไหลกลับเข้ามาด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้อีไอซีจึงประเมินว่า ดุลการชำระเงิน (balance of payment) ของไทย (ซึ่งมี current account และ financial account เป็นส่วนสำคัญ) มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้ (รูป 11) ซึ่งจากความสัมพันธ์ในอดีตพบว่า ในเวลาที่ดุลการชำระเงินของไทยปรับเพิ่มขึ้นค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีความต้องการเงินบาทสูงขึ้นจากการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ นอกจากนี้อีไอซีประเมินว่าหากความไม่แน่นอนทางการเมืองในไทยและสงครามการค้าคลี่คลายลงซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้มากในช่วงครึ่งหลังของปีก็จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้ ทำให้การลงทุนและการส่งออกไทยมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินบาทเพิ่มเติม โดยอีไอซีพบความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย (ซึ่งสะท้อนจากการปรับคาดการณ์ตัวเลข GDP ของไทย) และการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินที่ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา (รูปที่ 12) โดยในช่วงที่ผู้ร่วมตลาดมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้นโดยเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะปรับแข็งค่าขึ้นตาม ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของปีที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยน่าจะมีทิศทางปรับดีขึ้นเงินบาทก็น่าจะแข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน
 

รูปที่ 10:  P/E ratio ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี
pic_note_10.png

รูปที่ 11: ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลในระดับสูงที่ประมาณ 6.60% ต่อ GDP ขณะที่เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับเข้ามา ทำให้บัญชีการเงินของไทยอาจปรับสูงขึ้นได้

pic_note_11.png
รูปที่ 12: อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.45% ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ ที่มีค่าราว 0.4%
pic_note_12.png


ด้วยปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา อีไอซีจึงประเมินว่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2019 จะทรงตัวอยู่ในกรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกรอบดังกล่าวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเงินบาทในปีก่อนที่ประมาณ 32.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและแข็งค่ากว่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2018 ที่อยู่ที่ 32.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน เหตุที่เงินบาทอาจปรับแข็งค่าขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมาจากการที่หลาย ๆ ธนาคารกลางมีแนวโน้มดำเนินนโยบายอย่างผ่อนปรนขึ้น (dovish) ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาวะการเงินโลกและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ชะลอลงมาก ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่แม้จะยังคงขยายตัวในระดับดีแต่ก็ยังคงเป็นการขยายตัวที่ชะลอลงจากปีก่อน ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาทจึงไม่เข้มข้นมากนัก

ทั้งนี้เงินบาทอาจอ่อนค่าได้หาก Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุลน้อยกว่าคาด หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยยืดเยื้อ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นกว่าที่ประเมินไว้คือ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาขยายตัวได้มากกว่าคาด หรืออัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับ 2% ทำให้ Fed สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ภายในปีนี้ 2) การที่ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นส่งสัญญาณหรือดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น (dovish) กว่าสหรัฐฯ ซึ่งตัวอย่างที่สะท้อนภาวะนี้ได้คือเหตุการณ์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่เราเห็นทั้ง ECB และ BOJ ส่งสัญญาณ dovish ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้น 2) ความกังวลที่เศรษฐกิจโลกอาจชะลอลงมากกว่าคาดและมีโอกาสเกิดความเสี่ยงที่ปลายหาง (tail risk) สูงขึ้น ซึ่งในสภาพแวดล้อมนี้เงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นจากสถานะที่เป็นสกุลเงินหลักของโลก และผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยง (สะท้อนจากดัชนีตลาดหุ้น) ในหลาย ๆ ประเทศจะปรับลดลง นอกจากนี้เงินบาทอาจอ่อนค่าได้จากปัจจัยในประเทศ คือ 1)ดุลบัญชีเดินสะพัดที่อาจเกินดุลลดลงหากมีการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นมาก เพื่อมาสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ และ 2) ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่หากยังคงยืดเยื้อก็จะส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่นำเงินเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินของไทยตามสถานะ regional safe haven ทำให้เงินบาทอาจอ่อนค่าลงได้ในระยะต่อไป

สำหรับผลกระทบของเงินบาทต่อภาคเศรษฐกิจจริงนั้น อีไอซีประเมินว่า แม้เงินบาทจะผันผวนหรือแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแต่ผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกไทยยังคงจำกัด เนื่องจากการศึกษาของอีไอซีพบว่า ปัจจัยด้านรายได้ของประเทศคู่ค้าส่งผลต่อการส่งออกไทยมากกว่าปัจจัยด้านราคา กล่าวคือ ปริมาณการส่งออกไทยขึ้นอยู่กับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกเป็นสำคัญ (รูปที่ 13) ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงโดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย (real effective exchange rate: REER) ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกเพียงเล็กน้อย โดยพบว่า หาก REER ของไทยแข็งค่าขึ้น 1% จะทำให้ปริมาณการส่งออกไทยลดลงเพียง 0.24% แต่หากเศรษฐกิจโลก (world GDP) ชะลอลง 1% จะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกไทยลดลงถึง 0.8% นอกจากนี้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นจะมีผลต่อสภาพคล่องของผู้ส่งออกเพราะรายได้ของผู้ส่งออกในรูปเงินบาทจะลดน้อยลง 

 

รูปที่ 13: การส่งออกไทยขึ้นอยู่กับแนวโน้มการขยายตัวของการค้าโลกเป็นสำคัญ

pic_note_13.png

กล่าวโดยสรุป เงินบาทที่ผันผวนขึ้นในปัจจุบันเป็นผลจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและปัจจัยในประเทศประกอบกัน โดยแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักรวมถึงมุมมองของนักลงทุนต่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อค่าเงินเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดีผลกระทบของค่าเงินที่แข็งค่าต่อปริมาณการส่งออกไทยยังคงจำกัด เพราะการส่งออกไทยโดยรวมแล้วยังขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกเป็นสำคัญ ผู้ประกอบการไทยอาจพิจารณาใช้โอกาสที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นในการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาคได้




1 ดัชนีนี้เป็นการวัดว่านักเศรษฐศาสตร์ได้ปรับคาดการณ์ตัวเลข GDP ของประเทศนั้น ๆ ขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหน โดยค่าดัชนีที่ปรับสูงขึ้นแสดงว่านักเศรษฐศาสตร์เชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่าเศรษฐกิจโลก และประเมินว่า GDP สหรัฐฯ จะออกมาสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า หรือ GDP โลกจะออกมาต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้เดิม

ที่มา : Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์

ทำไมเงินบาทถึงแข็งค่า และจะยังแข็งค่าต่อไหม? โดย: วชิรวัฒน์ บานชื่น ([email protected])
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
Economic Intelligence Center (EIC)
ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำกัด) มหาชน
EIC Online: www.scbeic.com