เอ็มจีซี-เอเชีย ภายในปี 2563 ตั้งเป้ารายได้ 5 หมื่นล้าน

16 มิ.ย. 2559 | 08:00 น.
หลังจากบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย)จำกัด หรือ เอ็มจีซี-เอเชีย ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเป็น 8 กลุ่มธุรกิจหลักในปีที่ผ่านมา อันประกอบไปด้วยกลุ่มแรกคือ ธุรกิจรถยนต์ใหม่ ได้แก่ โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก, แอสตัน มาร์ติน แบงคอก, มิลเลนเนียม ออโต้ จำหน่ายรถบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ,พัฒนาการฮอนด้า และนิสสันเยาวราช กลุ่มที่สองคือ รถยนต์มือสอง ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู (BMW Premium Selection), มินิ (MINI Next), ฮอนด้าเซอร์ทิฟายยูสคาร์, มาสเตอร์เซอร์ทิฟายยูสคาร์ส(มัลติแบรนด์)และ ซุปเปอร์คาร์ส กลุ่มที่ 3 คือธุรกิจรถเช่า ได้แก่ มาสเตอร์คาร์เรนเทิ้ล (รถเช่าระยะยาว) และ ซิกท์ (Sixt)เรนท์อะ คาร์(รถเช่าระยะสั้น)

กลุ่มที่ 4 คือ ธุรกิจอาฟเตอร์มาร์เก็ตได้แก่ มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส(MMS) ,กลุ่มที่ 5 ธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัย ในนามบริษัทแมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ,กลุ่มที่ 6 ธุรกิจให้บริการศูนย์สาระสนเทศ ในนามบริษัท ไอทเวนตี้โฟร์(i24) จำกัด ,กลุ่มที่ 4 ธุรกิจศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร ภายใต้ มาสเตอร์ ออโตโมทีฟเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ (MAT) และน้องใหม่สุดในกลุ่มที่ 8 คือ ธุรกิจเรือสำราญ อะซิมุท ไทยแลนด์ ภายใต้ เอ็มจีซี-มารีน

ด้วยหน่วยธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้หัวเรือใหญ่อย่างดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของเอ็มจีซี-เอเชียต้องมีแผนงานและแนวทางที่เข้มข้นขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ กล่าวคือ รายได้ 5 หมื่นล้าน ภายในปี 2563 แต่ก่อนจะไปถึงเป้าหมายที่เคยประกาศไว้ วันนี้ฐานเศรษฐกิจมีทิศทางของปี 2559 และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีมานำเสนอ

ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา

ผลประกอบการของรถไฮลักซัวรี่คาร์ อย่าง โรลส์-รอยซ์ และแอสตัน มาร์ติน เติบโต ประมาณ 20 -25 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยโรลส์-รอยซ์ รุ่นดอน มียอดสั่งจองจนครบโควต้าที่ได้มาแล้ว ส่วนแอสตัน มาร์ติน ที่ได้รับความนิยมมากคือ ดีบี 11 ก็เหลือโควต้าไม่กี่คัน ขณะที่กลุ่มพรีเมียมคาร์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ มีผลประกอบการที่ทรงตัว ส่วนกลุ่มรถญีปุ่น อย่างนิสสัน และ ฮอนด้า ยอดขายลดลงไปประมาณ 10 %

ปัจจัยอะไรที่มีผลต่อตลาดรถยนต์

ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยเสี่ยงอย่างพืชผลทางการเกษตร ราคาไม่ดี ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหายไป อย่างไรก็ตามในครึ่งปีหลังโครงการต่างๆของภาครัฐฯน่าจะเริ่มเดินหน้า ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรน่าจะดีขึ้น ทั้งหมดนี้น่าจะช่วยให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจ เช่นเดียวกับนักลงทุนก็กล้าที่จะเดินหน้า ส่วนปัจจัยเรื่องการเมืองหรือเลือกตั้งนั้นก็มองว่ามีผลต่อความเชื่อมั่นของต่างประเทศมากกว่าในประเทศ

แผนงานรุกในครึ่งปีหลัง

เรามีการวางงบประมาณตลาดกว่า 40 ล้านบาท เพื่อจัดงาน MGC-ASIA AUTO FEST 2016 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-19 มิถุนายน 2559 ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยงบดังกล่าวได้แบ่งเป็น งบสำหรับแคมเปญ 30 ล้านบาท และงบในการจัดงานและเช่าพื้นที่อีก 10 ล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มงบประมาณเท่าตัวเมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นบรรยากาศการซื้อขาย โดยมีไฮไลท์พิเศษภายในงาน อาทิ เมื่อ ซื้อโรลส์-รอยซ์ เรธ รับแคมเปญ "ซื้อ หนึ่ง ได้ อีก หนึ่ง" ,ลูกค้าที่ซื้อ แอสตัน มาร์ติน วี8แวนเทจ รับแคมเปญ เทรดอิน รถซูเปอร์คาร์ เพิ่มมูลค่ารถซูเปอร์คาร์ สูงสุดถึง 1 ล้านบาท ,ซื้อรถมินิ รับคะแนน เอ็ม พอยท์ สูงสุด 5 แสนคะแนน ,ซื้อรถฮอนด้า และ นิสสัน รับทองคำมูลค่า 50 สตางค์ ขณะที่ไฮไลท์รถใหม่ที่จะเปิดตัวในงานมีด้วยกัน 2 รุ่นได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 218i Gran Tourer พร้อมชุดแต่ง M Sport และBMW 320d Iconic

โดยบริษัทฯคาดหวังว่าการจัดงานในครั้งนี้จะมียอดขายประมาณ 300 คัน เติบโตกว่าปีที่ผ่านมาที่ทำยอดขายได้ 150- 200 คัน และแบ่งสัดส่วนยอดขายออกเป็นรถญีปุ่น50% ส่วนแบรนด์ไฮลักซัวรี่ และพรีเมียมคาร์ 50%

แผนงานธุรกิจอื่นๆที่จะเห็นในปีนี้

เราเพิ่งจะเปิดตัวซิกท์ ที่ลาว ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับรถเช่า และตามแผนที่ได้ประกาศไว้ก็จะมีกาเรดินหน้าเปิดเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม, พม่า ,ลาว ,กัมพูชา ,มาเลเซีย โดยไตรมาส 3 จะเปิดสำนักงานเอ็มจีซี –เอเชีย ที่โฮจิมินจ์ ขณะที่ไตรมาส 3 จะมีการเปิด"เอ็มจีซี-เอเชีย ออโต้ เพล็กซ์ @ ภูเก็ต" ประกอบด้วย โชว์รูม โรลส์-รอยซ์, แอสตัน มาร์ติน, เรือยอร์ชอาซิมุท, บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ, รถยนต์มือสอง, ศูนย์ซ่อมสีและตัวถังครบวงจร รวมถึงการขยายฟลีทรถเช่าและสาขาของเอ็มเอ็มเอส นอกจากนั้นแล้วยังมีการก่อสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการเอ็มจีซี-เอเชีย ออโต้เพล็กซ์ @ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

เป้าหมายรายได้มีการปรับเปลี่ยนหรือไม่

เป้าหมายรายได้ของปี 2559 ที่วางไว้ว่าจะเติบโต 15 % เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ทำได้ 21,500 ล้านบาท เรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะยังเชื่อมั่นว่ากลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าผู้ประกอบการจะต้องมีกลยุทธ์ มีแคมเปญข้อเสนอต่างๆ และมีสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ นอกจากนั้นแล้วการบริการหลังการขาย การดูแลลูกค้าในส่วนต่างๆก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะสัดส่วนลูกค้าที่ซื้อรถกับเรากว่า 40% เป็นลูกค้าที่มาจากการบอกต่อ และเป็นลูกค้าที่ซื้อรถกับเราอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด โดยปัจจุบันเรามีฐานลูกค้าของบริษัทฯทั้งหมดกว่า 2 แสนราย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,165 วันที่ 12 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559