SUZUKI ERTIGA DREZA อเนกประสงค์สำหรับคนรุ่นใหม่
กลุ่มรถอเนกประสงค์-รถครอบครัว ถือเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าคนไทย ล่าสุดทางซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ก็มีการจับรุ่น เออร์ติก้า มาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อรุ่น-เพิ่มสีใหม่ และมีการจัดทดสอบสมรรถนะผ่านกิจกรรมเดินทางขับรถท่องเที่ยวโดยใช้เส้นทางพิษณุโลก -สุโขทัย-อุตรดิตถ์ เป็นระยะทางกว่า 300 กม.
[caption id="attachment_40733" align="aligncenter" width="500"]
SUZUKI ERTIGA DREZA[/caption]
ก่อนจะออกเดินทางไปพร้อมกับซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ ก็ขอสำรวจตรวจสอบข้อมูลของรถรุ่นนี้กันก่อน โดยเออร์ติก้าใหม่ มีให้เลือก 2 แบบได้แก่ GL (AT) และ Dreza (AT) โดยทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างด้านมิติตัวถังเพียงเล็กน้อย ในรุ่น Dreza ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสนั้นมีความยาวที่มากกว่า ด้วยจำนวน 4,325 มม.ส่วนในรุ่น GL มีจำนวน 4,265 มม. แต่ความกว้างมีขนาดเท่ากันอยู่ที่ 1,695 มม. ความสูง 1,685 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดทำได้ 5.2 ม. และความสูงใต้ท้องรถอยู่ที่ 185 มม.
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์มาพร้อม K14B 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1,373 ซีซี. กำลังสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6 พันรอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4 พันรอบต่อนาที
[caption id="attachment_40732" align="aligncenter" width="500"]
SUZUKI ERTIGA DREZA[/caption]
ส่วนดีไซน์ภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือกระจังด้านหน้าลายสปอร์ตและกันชนหน้าที่มีวัสดุโครเมียมมาดึงดูดสายตา ไม่เพียงเท่านั้นไฟหน้าแบบฮาโลเจนก็มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ และยังมีไฟแอลอีดี พร้อมทั้งไฟตัดหมอกซึ่งถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่นท็อป Dreza
[caption id="attachment_40734" align="aligncenter" width="500"]
SUZUKI ERTIGA DREZA[/caption]
ไล่เรียงมามุมด้านข้างของตัวรถจะเห็นเส้นสายการออกแบบทำให้รถดูมีมิติ มีสเกิร์ตข้าง ล้ออะลูมิเนียมอัลลอยขนาด 15 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต ดูพลิ้วไหวยามเคลื่อนไหว และดุเข้มเวลาจอดนิ่งสนิท ส่วนด้านหลังของรถรุ่นนี้ ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ ด้านกันชนหลังเป็นแบบสปอร์ต สปอยเลอร์ และไฟเบรกดวงที่ 3 ตัวประตูท้ายมีการตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียมเพื่อให้ดูโดดเด่น
[caption id="attachment_40729" align="aligncenter" width="500"]
SUZUKI ERTIGA DREZA[/caption]
ส่วนภายในห้องโดยสารของเออร์ติก้า ในรุ่นท็อปอย่าง Dreza จะเป็นแบบทูโทน บริเวณแผงประตูมีการตกแต่งสีเบจ-ลายไม้ ด้านพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้าปรับสูงต่ำได้ และยังมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงตรงพวงมาลัย ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนขับ โดยระบบเครื่องเสียง 2DIN เครื่องเล่นซีดี และวิทยุ ลำโพงคู่หน้า 2 ด้านหลัง 2 และมีช่องเชื่อมต่อยูเอสบี ส่วนระบบปรับอากาศก็มีทั้งแถวหน้าและเบาะแถวหลัง
[caption id="attachment_40731" align="aligncenter" width="500"]
SUZUKI ERTIGA DREZA[/caption]
สำรวจกันพอหอมปากหอมคอก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง โดยระยะทางที่วิ่งกันกว่า 300 กม.นั้นก็มีทั้งทางราบ ผ่านชุมชน –ถนนชนบท และทางเขาลาดชัน ซึ่งผู้เขียนได้ทดลองเข้าไปนั่งตั้งแต่เบาะด้านหน้าสุดคู่ผู้ขับขี่ ซึ่งด้านหน้าก็กว้างขวาง ปรับสูงต่ำได้ ต่อมาในเบาะแถว 2 ยังคงความสบาย ปรับเลื่อนหน้า-หลัง มีพนักพิง มีที่วางแขน แต่ไม่มีที่วางแก้ว (อันนี้เป็นจุดที่เสียดายว่าทำไมไม่มี) ตัวเบาะปรับพับได้แบบ 60:40 ส่วนเบาะแถว 3 นั้นมีที่วางแก้วทั้งซ้าย-ขวา และพับเบาะได้ 50:50 โดยผู้เขียนได้ลองเข้าไปนั่ง และพบว่ามันนั่งได้จริงๆ แต่ว่าการนั่งนานๆ ก็จะมีการเมื่อยล้า ดังนั้นในแถว 3 เหมาะสำหรับเด็กๆ หรือวัยรุ่นไซส์มินิ ขาสั้น ที่นั่งคนเดียวได้สบายๆ อย่างไรก็ตามพื้นที่ด้านหลังหากไม่มีการพับเบาะทั้ง 3 แถวก็อาจจะจุของได้ไม่เยอะเท่าไร ดังนั้นครอบครัวที่เน้นการขนของเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะต้องพับเบาะแถว 3 เพื่ออำนวยความสะดวกตรงนี้
[caption id="attachment_40730" align="aligncenter" width="500"]
SUZUKI ERTIGA DREZA[/caption]
ขณะที่การตอบโจทย์ด้านสมรรถนะของรถรุ่นนี้ ในช่วงการเดินทางผ่านชุมชน หรือทางราบก็ทำได้ดี แต่ในช่วงที่ใช้ความเร็ว และเส้นทางเขานั้น อาจจะมีความรู้สึกว่าตื้อๆหรือเริ่มโยนๆ เล็กน้อย แต่เมื่อลดระดับความเร็วและวิ่งกันแบบชิลๆ เจ้าเออร์ติก้า Dreza ก็กลับมาทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่าเป็นรถอเนกประสงค์ เอ็มพีวี 7 ที่นั่งที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่ ลูกค้าที่สนใจอยากสัมผัสกับรถรุ่นนี้ สามารถแวะไปชมที่โชว์รูมและศูนย์บริการซูซูกิทั่วประเทศ หรือจะแวะไปที่งานมอเตอร์โชว์ที่จัดขึ้น ณ ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 3 เมษายนนี้ ซึ่งภายในงานจะมีรถให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด และร่วมทดลองขับ พร้อมข้อเสนอพิเศษ ลด แลก แจก แถม สนนราคารุ่น Dreza อยู่ที่ 7.15 แสนบาท ส่วน GL ราคา 6.55 แสนบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,143 วันที่ 25 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2559
[caption id="attachment_40733" align="aligncenter" width="500"]
ก่อนจะออกเดินทางไปพร้อมกับซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ ก็ขอสำรวจตรวจสอบข้อมูลของรถรุ่นนี้กันก่อน โดยเออร์ติก้าใหม่ มีให้เลือก 2 แบบได้แก่ GL (AT) และ Dreza (AT) โดยทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างด้านมิติตัวถังเพียงเล็กน้อย ในรุ่น Dreza ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสนั้นมีความยาวที่มากกว่า ด้วยจำนวน 4,325 มม.ส่วนในรุ่น GL มีจำนวน 4,265 มม. แต่ความกว้างมีขนาดเท่ากันอยู่ที่ 1,695 มม. ความสูง 1,685 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดทำได้ 5.2 ม. และความสูงใต้ท้องรถอยู่ที่ 185 มม.
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์มาพร้อม K14B 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1,373 ซีซี. กำลังสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6 พันรอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4 พันรอบต่อนาที
[caption id="attachment_40732" align="aligncenter" width="500"]
ส่วนดีไซน์ภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือกระจังด้านหน้าลายสปอร์ตและกันชนหน้าที่มีวัสดุโครเมียมมาดึงดูดสายตา ไม่เพียงเท่านั้นไฟหน้าแบบฮาโลเจนก็มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ และยังมีไฟแอลอีดี พร้อมทั้งไฟตัดหมอกซึ่งถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่นท็อป Dreza
[caption id="attachment_40734" align="aligncenter" width="500"]
ไล่เรียงมามุมด้านข้างของตัวรถจะเห็นเส้นสายการออกแบบทำให้รถดูมีมิติ มีสเกิร์ตข้าง ล้ออะลูมิเนียมอัลลอยขนาด 15 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต ดูพลิ้วไหวยามเคลื่อนไหว และดุเข้มเวลาจอดนิ่งสนิท ส่วนด้านหลังของรถรุ่นนี้ ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ ด้านกันชนหลังเป็นแบบสปอร์ต สปอยเลอร์ และไฟเบรกดวงที่ 3 ตัวประตูท้ายมีการตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียมเพื่อให้ดูโดดเด่น
[caption id="attachment_40729" align="aligncenter" width="500"]
ส่วนภายในห้องโดยสารของเออร์ติก้า ในรุ่นท็อปอย่าง Dreza จะเป็นแบบทูโทน บริเวณแผงประตูมีการตกแต่งสีเบจ-ลายไม้ ด้านพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้าปรับสูงต่ำได้ และยังมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงตรงพวงมาลัย ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนขับ โดยระบบเครื่องเสียง 2DIN เครื่องเล่นซีดี และวิทยุ ลำโพงคู่หน้า 2 ด้านหลัง 2 และมีช่องเชื่อมต่อยูเอสบี ส่วนระบบปรับอากาศก็มีทั้งแถวหน้าและเบาะแถวหลัง
[caption id="attachment_40731" align="aligncenter" width="500"]
สำรวจกันพอหอมปากหอมคอก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง โดยระยะทางที่วิ่งกันกว่า 300 กม.นั้นก็มีทั้งทางราบ ผ่านชุมชน –ถนนชนบท และทางเขาลาดชัน ซึ่งผู้เขียนได้ทดลองเข้าไปนั่งตั้งแต่เบาะด้านหน้าสุดคู่ผู้ขับขี่ ซึ่งด้านหน้าก็กว้างขวาง ปรับสูงต่ำได้ ต่อมาในเบาะแถว 2 ยังคงความสบาย ปรับเลื่อนหน้า-หลัง มีพนักพิง มีที่วางแขน แต่ไม่มีที่วางแก้ว (อันนี้เป็นจุดที่เสียดายว่าทำไมไม่มี) ตัวเบาะปรับพับได้แบบ 60:40 ส่วนเบาะแถว 3 นั้นมีที่วางแก้วทั้งซ้าย-ขวา และพับเบาะได้ 50:50 โดยผู้เขียนได้ลองเข้าไปนั่ง และพบว่ามันนั่งได้จริงๆ แต่ว่าการนั่งนานๆ ก็จะมีการเมื่อยล้า ดังนั้นในแถว 3 เหมาะสำหรับเด็กๆ หรือวัยรุ่นไซส์มินิ ขาสั้น ที่นั่งคนเดียวได้สบายๆ อย่างไรก็ตามพื้นที่ด้านหลังหากไม่มีการพับเบาะทั้ง 3 แถวก็อาจจะจุของได้ไม่เยอะเท่าไร ดังนั้นครอบครัวที่เน้นการขนของเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะต้องพับเบาะแถว 3 เพื่ออำนวยความสะดวกตรงนี้
[caption id="attachment_40730" align="aligncenter" width="500"]
ขณะที่การตอบโจทย์ด้านสมรรถนะของรถรุ่นนี้ ในช่วงการเดินทางผ่านชุมชน หรือทางราบก็ทำได้ดี แต่ในช่วงที่ใช้ความเร็ว และเส้นทางเขานั้น อาจจะมีความรู้สึกว่าตื้อๆหรือเริ่มโยนๆ เล็กน้อย แต่เมื่อลดระดับความเร็วและวิ่งกันแบบชิลๆ เจ้าเออร์ติก้า Dreza ก็กลับมาทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่าเป็นรถอเนกประสงค์ เอ็มพีวี 7 ที่นั่งที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่ ลูกค้าที่สนใจอยากสัมผัสกับรถรุ่นนี้ สามารถแวะไปชมที่โชว์รูมและศูนย์บริการซูซูกิทั่วประเทศ หรือจะแวะไปที่งานมอเตอร์โชว์ที่จัดขึ้น ณ ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 3 เมษายนนี้ ซึ่งภายในงานจะมีรถให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด และร่วมทดลองขับ พร้อมข้อเสนอพิเศษ ลด แลก แจก แถม สนนราคารุ่น Dreza อยู่ที่ 7.15 แสนบาท ส่วน GL ราคา 6.55 แสนบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,143 วันที่ 25 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2559