มิตซูบิชิ ส่งมิราจ-แอททราจ ไมเนอร์เชนจ์
แม้ตลาดรถเล็กในกลุ่มบี-คาร์, อีโคคาร์จะมียอดขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ค่ายมิตซูบิชิ ที่มีโมเดลอย่าง มิราจ และแอททราจกลับมียอดขายเติบโตโดยข้อมูลจากหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯแจ้งว่ายอดขายรวมทั้ง 2 รุ่นตั้งแต่มกราคม- เมษายน 2560ทำได้ 6,597 คัน เพิ่มขึ้น28.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 5,118 คัน
เมื่อแบ่งออกเป็นรุ่นต่างๆพบว่า มิราจ มียอดขาย 2,851 คัน เพิ่มขึ้น 18.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 2,403คัน ส่วนแอททราจ ทำได้3,746 คัน เพิ่มขึ้น 38.0%เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 2,715 คัน
“เพื่อตอกยํ้าถึงความเป็นผู้นำในตลาดรถซิตีคาร์ของมิตซูบิชิ บริษัทจึงมีการปรับโฉมใหม่ของรถทั้ง 2 รุ่นทั้งมิราจ และแอททราจพร้อมกันนั้นยังมีแคมเปญประกันภัยชั้น 1 ฟรี 3 ปีมูลค่าสูงสุด 48,669 บาทสำหรับแอททราจ รุ่นใหม่และ 47,238 บาท สำหรับมิราจ รุ่นใหม่ นอกจากนั้นแล้วยังมีบริการช่วยเหลือเป็นเวลานาน 3 ปี ฟรีค่าแรงการเช็กระยะนาน 5 ปีหรือ1 แสนกิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน” นายโมริคาซุ ชคกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท มิตซูบิชิมอเตอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวและว่า
[caption id="attachment_156427" align="aligncenter" width="503"]
มิตซูบิชิ ส่งมิราจ-แอททราจ ไมเนอร์เชนจ์[/caption]
สำหรับ มิราจ และแอททราจ มาพร้อมกันชนและไฟท้ายแบบใหม่ และมีการ ติดตั้ง Apple CarPlay มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น GLS-LTD ของทั้ง มิราจและ แอททราจ โดย CarPlay เป็นช่องทางที่สะดวก และปลอดภัยในการใช้งาน iPhone ภายในรถยนต์ โดยผู้ขับขี่สามารถโทร.ออกพร้อมรับสายโทรศัพท์ ส่งข้อความและฟังเพลง พร้อมกับการขับขี่ และ CarPlay ยังสามารถใช้งานผ่านหน้าจอสัมผัสและคำสั่งเสียงผ่านระบบ Siri2
เครื่องยนต์ MIVEC 1.2 ลิตร อัตราเร่ง 78 แรงม้าทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติCVT พร้อมระบบ INC (Idle Neutral Control) ที่ตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะที่รถยนต์หยุดนิ่ง มีระบบ G-Sensor ที่ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์บนทางลาดชันด้านอัตราบริโภคเชื้อเพลิงตํ่าเพียง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร ใน แอททราจ และ 23.8 กิโลเมตร/ลิตร 3 ในมิราจ
ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาคือเข็มขัดนิรภัยเบาะหลังแบบ ELR 3 จุด 3 ตำแหน่ง, จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่ง และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านคนขับ โดยติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของทั้ง 2 รุ่นทุกคัน
สนนราคามิราจราคาเริ่มต้น 4.57-5.96 แสนบาท ปรับขึ้นจากรุ่นเดิมตั้งแต่ 1.3 -2.4 หมื่นบาท ส่วนแอททราจ เริ่มต้นที่ 4.72-5.99 แสนบาทโดยปรับขึ้นจากรุ่นเดิม 1.1 หมื่นบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,267 วันที่ 4 - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560
เมื่อแบ่งออกเป็นรุ่นต่างๆพบว่า มิราจ มียอดขาย 2,851 คัน เพิ่มขึ้น 18.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 2,403คัน ส่วนแอททราจ ทำได้3,746 คัน เพิ่มขึ้น 38.0%เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 2,715 คัน
“เพื่อตอกยํ้าถึงความเป็นผู้นำในตลาดรถซิตีคาร์ของมิตซูบิชิ บริษัทจึงมีการปรับโฉมใหม่ของรถทั้ง 2 รุ่นทั้งมิราจ และแอททราจพร้อมกันนั้นยังมีแคมเปญประกันภัยชั้น 1 ฟรี 3 ปีมูลค่าสูงสุด 48,669 บาทสำหรับแอททราจ รุ่นใหม่และ 47,238 บาท สำหรับมิราจ รุ่นใหม่ นอกจากนั้นแล้วยังมีบริการช่วยเหลือเป็นเวลานาน 3 ปี ฟรีค่าแรงการเช็กระยะนาน 5 ปีหรือ1 แสนกิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน” นายโมริคาซุ ชคกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท มิตซูบิชิมอเตอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวและว่า
[caption id="attachment_156427" align="aligncenter" width="503"]
สำหรับ มิราจ และแอททราจ มาพร้อมกันชนและไฟท้ายแบบใหม่ และมีการ ติดตั้ง Apple CarPlay มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น GLS-LTD ของทั้ง มิราจและ แอททราจ โดย CarPlay เป็นช่องทางที่สะดวก และปลอดภัยในการใช้งาน iPhone ภายในรถยนต์ โดยผู้ขับขี่สามารถโทร.ออกพร้อมรับสายโทรศัพท์ ส่งข้อความและฟังเพลง พร้อมกับการขับขี่ และ CarPlay ยังสามารถใช้งานผ่านหน้าจอสัมผัสและคำสั่งเสียงผ่านระบบ Siri2
เครื่องยนต์ MIVEC 1.2 ลิตร อัตราเร่ง 78 แรงม้าทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติCVT พร้อมระบบ INC (Idle Neutral Control) ที่ตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะที่รถยนต์หยุดนิ่ง มีระบบ G-Sensor ที่ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์บนทางลาดชันด้านอัตราบริโภคเชื้อเพลิงตํ่าเพียง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร ใน แอททราจ และ 23.8 กิโลเมตร/ลิตร 3 ในมิราจ
ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาคือเข็มขัดนิรภัยเบาะหลังแบบ ELR 3 จุด 3 ตำแหน่ง, จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่ง และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านคนขับ โดยติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของทั้ง 2 รุ่นทุกคัน
สนนราคามิราจราคาเริ่มต้น 4.57-5.96 แสนบาท ปรับขึ้นจากรุ่นเดิมตั้งแต่ 1.3 -2.4 หมื่นบาท ส่วนแอททราจ เริ่มต้นที่ 4.72-5.99 แสนบาทโดยปรับขึ้นจากรุ่นเดิม 1.1 หมื่นบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,267 วันที่ 4 - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560