บทเรียนจากก้าวที่พลาดของคนเป็นหนี้

06 พ.ค. 2564 | 18:25 น.

หลายท่านคงทราบแล้วว่า ช่วงนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งช่วง 2 เดือนของการจัดงานตั้งแต่วันวาเลนไทน์เป็นต้นมา ทีมงาน ธปท. ดีใจมากที่ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกยึดทรัพย์ และกลุ่มที่กำลังจะถูกขายทอดตลาด ให้สามารถกลับมาเจรจากับผู้ประกอบธุรกิจบัตรฯ ได้อีกครั้ง ขณะเดียวกัน มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรฯ ก็ทำให้พวกเรามีประสบการณ์ไกล่เกลี่ยหนี้ จึงเป็นโอกาสให้พวกเราได้เรียนรู้จากก้าวที่พลาดขอคนเป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล  

คำถามแรก ลูกหนี้ก้าวพลาดตรงไหน?

ก้าวแรกที่พลาดมาจากความไร้เดียงสาของลูกหนี้ ลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า “ดอกเบี้ยบัตรฯแพง” และประเมินไม่ถูกว่า “แพง” เป็นอย่างไร และไม่รู้ว่า ถ้าผิดนัดชำระหนี้ หรือจ่ายขั้นตํ่า จะถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง สุดท้ายแต่ละเดือนต้องจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยที่สูงให้กับเจ้าหนี้จนหลายคนท้อ

พลาดที่สองมาจากการเป็นโรคภูมิแพ้การตลาด เริ่มจาก “แพ้” การตลาดของผู้ให้บริการทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการให้ใช้ก่อน-จ่ายทีหลัง หรือตัดแต้มแลกส่วนลดเงินสดหรือแลกสินค้า และยัง “แพ้” ข้อเสนอดีๆ เพื่อให้เปิดวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลแถมไม่มีหลักประกันด้วย ยิ่งทำให้เรื่องเงินเป็นเรื่องง่าย อีกทั้งยัง “แพ้” ระบบการตลาดออนไลน์ที่เข้ามายั่วกิเลสได้ทุกเวลา ไม่เลือกสถานที่ สุดท้ายอาการภูมิแพ้ก็แสดงออกมาเป็นการใช้จ่ายเกินตัว และสะสมหนี้จนเกินกำลังจะชำระคืน 

พลาดที่สามมาจากการไม่รู้หลักการบริหารเงิน 2 ข้อสำคัญ กล่าวคือ ข้อแรก ลงทุนอะไรต้องให้คุ้มกับดอกเบี้ย ธปท.พบว่า ลูกหนี้จำนวนไม่น้อยใช้เงินกู้จากบัตรเครดิตไปซื้อสินค้า เพื่อขายทำกำไร โดยไม่รู้เลยว่าจะขายได้เมื่อไรและได้เท่าไหร่ ขณะที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 16% และ ข้อสอง ลงทุนที่มีลักษณะ Maturity mismatch หรือ การนำสินเชื่ออายุสั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว เช่น สร้างบ้านหรือลงทุนในอสังหา ริมทรัพย์ เป็นต้น ย่อมมีโอกาสมากที่ลูกหนี้จะหมุนเงินไม่ทัน ลูกหนี้จำนวนหนึ่งจึงใช้สินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งดอกเบี้ยสูงถึง 25% และเป็นสินเชื่อระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่อง ทั้งที่ควรขอสินเชื่อระยะยาวที่ผ่อนได้นานและดอกเบี้ยตํ่ากว่า สุดท้ายเมื่อผ่อนชำระหนี้ไม่ได้ กลายเป็นหนี้เสีย  

พลาดที่สี่มาจากการอยากมีชีวิตที่พร้อมตั้งแต่เริ่มทำงาน กล่าวคือ เด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยพอเริ่มทำงานมีเงินเดือนเป็นของตัวเองก็อยากมีคอนโด มีรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนจะสามารถซื้อหาได้ด้วยเงินสด จึงเริ่มเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยลืมคิดไปว่า การผ่อนของที่มีราคาขนาดนี้ต้องใช้เวลาหลายปี และในช่วงหลายปีนี้ จะมีงานทำตลอดหรือไม่ หรือจะมีอุบัติเหตุชีวิตอื่นอีกหรือไม่ และด้วยพลังความมุ่งมั่นแบบไม่กลัวอะไรของคนวัยนี้ ทำให้หลายคนทุ่มหมดหน้าตัก คือเหลือเงินใช้ส่วนตัวไม่มาก อาศัยการรูดบัตรเครดิตหรือขอสินเชื่อส่วนบุคคลมาใช้จ่าย 

คำถามต่อมาคือ เราจะเดินหน้าอย่างไรต่อดี? 

ในช่วงวิกฤติโควิด 19 การเร่งกระบวนการให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้เจรจาตกลงกันได้เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาก ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างมีโปรแกรมช่วยเหลือหลายรูปแบบสำหรับลูกหนี้ที่มีปัญหาการผ่อนชำระ ลูกหนี้จึงควรเปิดใจเข้ามาเจรจากับเจ้าหนี้ดีกว่าการหลบเลี่ยงเมื่อไม่มีเงินจ่าย จนนำมาสู่การฟ้องดำเนินคดีต่อศาล ซึ่งทำให้การเจรจาหาข้อยุติยากยิ่งขึ้น เพราะต่างขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกันแล้ว 

ขณะเดียวกัน ธปท. ก็พร้อมสนับสนุนการเจรจาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ทุกขั้นตอน ด้วยการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรฯ กล่าวคือ แม้ลูกหนี้ถูกพิพากษาแล้ว ยึดทรัพย์ กำลังจะขายทอดตลาด ซึ่งปกติยากที่กลับมาเจรจากันแล้วได้ข้อยุติ ที่สำคัญ เราขยายเวลาจัดมหกรรมฯ ไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จึงไม่ควรพลาด

นอกจากนี้ หลังวิกฤติโควิด 19 ผ่านพ้นไป บทเรียนราคาแพงจากก้าวที่พลาดของลูกหนี้เหล่านี้ ควรนำมาออกแบบนโยบายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน การคุ้มครองและให้ความรู้แก่ผู้ใช้บริการทางการเงิน และนโยบายสาธารณะอื่น ๆ เพื่อให้สุขภาพทางการเงินของประชาชนทั่วไปแข็งแกร่ง ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจการเงินในภาพรวมด้วย 

 

คอลัมน์ยังอีโคโนมิสต์

โดย : ชวนันท์ ชื่นสุข ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน

โดย : อโนทัย พุทธารี ฝ่ายประเมินความเสี่ยงและแบบจำลอง สง.

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,676 วันที่ 6 - 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2564