นางสาววิไลพร ทวีลาภพันทองหุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา และหัวหน้ากลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ข้อดีของ Open Banking ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกและเลือกใช้บริการที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลได้ในเรียลไทม์ และยังเปิดโอกาสให้ธนาคารสามารถสร้างรายได้มากขึ้นจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบบริการใหม่ๆ ผ่านการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรที่อาจเป็นนอนแบงก์ เช่น บริษัทเทคโนโลยีและฟินเทค ซึ่งจะช่วยเร่งเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัล ทำให้ต้นทุนถูกลง แถมมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานมากขึ้น
การทำ Open Banking จะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการรวมศูนย์บริการของธุรกรรมทางการเงินไว้บนแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นโอนเงิน เช็คยอดเงิน หรือชำระค่าบริการต่างๆ แต่การพัฒนา Open Banking ของไทยยังคงมีความท้าทายอยู่มาก เพราะขาดความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน กฎเกณฑ์ และข้อบังคับในการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลของลูกค้า รวมถึงการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของลูกค้า
“ภาคการเงินของไทยน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี จึงจะสามารถก้าวเข้าสู่ Open Banking ได้เต็มรูปแบบ เพราะยังต้องปูความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐาน และความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน”นางสาววิไลพรกล่าว
ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ของไทยเข้าสู่ Open Banking ในลักษณะของการเชื่อมต่อกับระบบของบริษัทภายในเครือ บริษัทร่วมทุน หรือคู่ค้า และสามารถเข้าถึงข้อมูลระหว่างกันผ่าน API ได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น หากต้องการที่จะก้าวเข้าสู่พัฒนา Open Banking อย่างเต็มรูปแบบไปอีกขั้น ภาครัฐและหน่วยงานกำกับจะต้องกำหนดมาตรฐานด้านการเชื่อมต่อ การใช้งาน และการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการสร้างกลไกและความตระหนักเรื่องความปลอดภัยของการแชร์ข้อมูลการเงินให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้วิวัฒนาการของการทำ Open Banking ของภาคการเงินโลกจะเกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ช่องโหว่สำคัญที่ทำให้ระดับการพัฒนายังแตกต่างกัน คือการให้ความร่วมมือระหว่างธนาคารในการเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าให้บุคคลที่สาม ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งนำไปใช้ ประกอบกับกฎเกณฑ์เพื่อบังคับให้เกิดความร่วมมืออย่างจริงจังที่ยังมีไม่มาก ทำให้ธนาคารของไทยหลายแห่งยังเลือกที่จะเก็บข้อมูลลูกค้าของตัวเองไว้
“Open Banking ถือเป็นวิวัฒนาการของระบบนิเวศทางการเงินที่ท้าทายระบบแบบดั้งเดิมในทุกๆ มิติ เพราะแบงก์ต้องยอมให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของลูกค้ามากขึ้น เพื่อก่อให้เกิดการเชื่อมต่ออย่างมีประสิทธิภาพ แต่วันนี้แบงก์หลายรายยังกังวลเรื่องการรักษาความปลอดภัยในการให้ผู้บริการรายอื่นสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าของตัวเอง รวมไปถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดและโอกาสที่จะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับผู้เล่นรายใหม่ โดยเฉพาะกับกลุ่มฟินเทค รวมถึงความท้าทายในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าในรูปแบบใหม่ เพราะความจำเป็นในการทำธุรกรรมที่หน้าเคาน์เตอร์สาขาของลูกค้านั้นลดลงเรื่อยๆ”
ดังนั้น การจะผลักดันให้ Open Banking ในไทยสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และการส่งเสริมจากภาครัฐในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างธนาคาร เช่น ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปกับเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า เพื่อป้องกันเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลที่อาจทำให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขได้ยากต่อธุรกิจบริการทางการเงินทั้งระบบ
หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,671 วันที่ 18 - 21 เมษายน พ.ศ. 2564