อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดตลาด “อ่อนค่า”ที่ระดับ 31.33บาท/ดอลลาร์

05 เม.ย. 2564 | 00:30 น.

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่ยังคงมีโอกาสแข็งค่าขึ้น จากความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แนะควรระวังแรงซื้อสกุลต่างประเทศเพื่อจ่ายปันผลอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้มาก

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.33 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่า”ลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 31.30 บาทต่อดอลลาร์แนวโน้มจะเคลื่อนไหวตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่ยังคงมีโอกาสแข็งค่าขึ้น จากความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แนะควรระวังแรงซื้อสกุลต่างประเทศเพื่อจ่ายปันผลอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้มาก หากเกิดขึ้นพร้อมกับช่วงที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและราคาทองคำก็ย่อตัวลง

 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนผ่านยอดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นดีกว่าคาดในสัปดาห์นี้ เราคาดว่า IMF อาจปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกดีขึ้น หนุนโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ควรติดตามสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ที่ยังคงเป็นความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

ในฝั่งสหรัฐฯ การเร่งแจกจ่ายวัคซีนจะช่วยส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยตลาดประเมินว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการบริการจะคึกคักขึ้น สะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ในเดือนมีนาคม ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 59 จุด จาก 55.3 จุด ในเดือนก่อน นอกจากนี้ ภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นกว่าคาด จากทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่และการเร่งแจกจ่ายวัคซีน จะทำให้ IMF ปรับประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น +5.5% จากคาดการณ์เดิมในเดือนมกราคม (+5.1%) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวดีขึ้นกว่าคาด อาจทำให้ IMF แสดงความกังวลว่า นโยบายการเงินสหรัฐฯ อาจเข้มงวดขึ้นเร็วกว่าคาด ทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนและเกิดแรงเทขายสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ได้

ส่วนในฝั่งยุโรป แม้ว่า แนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปอาจดูไม่สดใสนัก ทว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในยุโรป สะท้อนผ่าน Sentix Investor Confidence ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.7 จุด หนุนโดยการปรับเปลี่ยนกลุ่มหุ้นลงทุน (Style & Sector Rotation) ที่จะเน้นลงทุนหุ้นในกลุ่ม Cyclical Value มากขึ้น

ทั้งนี้ ในฝั่งเอเชีย เศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการบริการที่จะสามารถขยายตัวในอัตราเร่ง สะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) โดย Caixin ในเดือนมีนาคม ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52 จุด อย่างไรก็ดี ประเทศอื่นๆ ในโซนเอเชีย-แปซิฟิก อาจมีการฟื้นตัวที่แตกต่างกัน จากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งสำหรับประเทศอินเดีย สถานการณ์การระบาดที่ยังคงรุนแรงอยู่และมาพร้อมกับการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Repo Rate) ไว้ที่ระดับ 4.00% ขณะที่ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.10% หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นจากผ่อนคลายมาตรการ Lockdown

และในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนมีนาคม จะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 0.21% จากระดับ -1.17% ในเดือนก่อน หนุนโดยราคาน้ำมันดิบที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนมาก ทว่า มาตรการช่วยค่าใช้จ่ายครัวเรือน อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ จะเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินเฟ้อไม่เร่งตัวสูงขึ้นมากนัก

 ส่วนในฝั่งตลาดการเงิน มีแนวโน้มที่จะกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทว่าปริมาณการซื้อ ขาย อาจไม่คึกคักมากนัก เนื่องจากเป็นวันหยุด ในเทศกาลอีสเตอร์และเทศกาลเช็งเม้งของหลายประเทศ แต่ก็ต้องระวังความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น หากมีธุรกรรมขนาดใหญ่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน

 

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทจะเคลื่อนไหวตามทิศทางเงินดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์ยังคงมีโอกาสแข็งค่าขึ้น จากความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง หลังจากที่ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ออกมาดีเกินคาดไปมาก และ IMF ก็อาจจะปรับประมาณการเศรษฐกิจดีขึ้นจากเดิม นอกจากนี้ ควรระวังแรงซื้อสกุลต่างประเทศเพื่อจ่ายปันผลซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง โดยธุรกรรมจ่ายปันผลอาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้มาก หากเกิดขึ้นพร้อมกับช่วงที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและราคาทองคำก็ย่อตัวลง

 

ทั้งนี้ เรามองว่า ในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่ามากที่สุดในปีนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีของผู้ส่งออกในการทยอยปิดความเสี่ยงค่าเงิน ขณะที่ผู้นำเข้าที่ยังไม่มีภาระที่ชัดเจน อาจเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ การทำออพชั่น (Options) เพราะเงินบาทยังมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้

 มองกรอบเงินบาท สัปดาห์นี้ที่ระดับ 31.15 - 31.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.25-31.40 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเช้านี้ (5 เม.ย.) เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ที่ 31.28-31.33 บาทต่อดอลลาร์ฯ ใกล้เคียงระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 31.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่บรรยากาศตลาดการเงินฝั่งเอเชียค่อนข้างเบาบาง หลายประเทศปิดทำการเนื่องในเทศกาลเชงเม้ง อย่างไรก็ดีเงินดอลลาร์ฯ ยังน่าจะได้รับอานิสงส์ในระหว่างวันจาก สัญญาณแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเดือนมี.ค. ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ซึ่งหนุนความหวังต่อแนวโน้มที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ  

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 31.20-31.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศ และข้อมูลเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ของไทย  ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการเดือนมี.ค. ของสหรัฐฯ