ค้านออกเกณฑ์ ลงทุนคริปโต รายได้1ล้านต่อปี

08 มี.ค. 2564 | 22:30 น.

วงการคริปโต รุมค้าน ก.ล.ต.กำหนดคุณสมบัตินักลงทุน ต้องมีรายได้ 1 ล้านบาทต่อปี มองปิดกั้นโอกาสลงทุนมากกว่าป้องกันความเสี่ยง อ้างข้อมูล ธปท.ระบุคนไทยมีรายได้ 2 แสนบาทต่อปี หวั่นหนีลงทุนต่างประเทศ กระทบการพัฒนาการสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวคิดกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี โดยเริ่มเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีและการกำหนดให้มีการทดสอบความรู้ก่อนการให้บริการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น พิจารณาจากคุณสมบัติด้านฐานะการเงิน และความรู้ความเข้าใจสำหรับผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี นั้น
ก็ได้รับเสียงวิพากวิจารณ์จากคนในแวดวงคริปโตเคอร์เรนซี และนักลงทุน ว่าถือเป็นการจำกัดสิทธิ์การลงทุน และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย

โดยนายปรมินทร์ อินโสม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้ชื่อ “สตางค์โปร” (SatangPro) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าหลักการกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี โดยต้องมีรายได้ต่อปี ไม่รวมคู่สมรส 1 ล้านบาท ต่อปีหรือเกินกว่า 8.3 หมื่นบาท ต่อเดือน หรือมีสินทรัพย์สุทธิ ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ไม่รวมมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นที่พักอาศัยประจำ นั้นมองว่ากลต.ควรให้อิสระกับนักลงทุนในการเลือกลงทุน การกำหนดคุณสมบัติรายได้ถือเป็นการตัดโอกาสการลงทุน โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ระบุว่าคนไทยมีรายได้เฉลี่ยปีละ 2 แสนบาท หากนำเงื่อนไขต้องมีรายได้ 1 ล้านบาทต่อปีมาใช้ คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ผ่านเกณฑ์เทรดคริปโต และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาวงการคริปโตของไทย

 

  ส่วนการทดสอบความรู้กับนักลงทุนนั้นเห็นด้วยกับการทดสอบความรู้ โดยคนที่เข้ามาเทรดคริปโตจะต้องมีความรู้ต้องรับรู้คว่มเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุน คนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลรู้ความเสี่ยงตั้งแต่แรก แต่การเข้ามาลงทุนคริปโตไม่รู้ความเสี่ยงไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ตลาดมีความผันผวนสูง

นายปรมินทร์ กล่าวต่อไปอีกว่ามองว่าการกำหนดเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี นั้นทุกฝ่ายทั้งนักลงทุน ตลาดกลาง และผู้กำกับดูแลจะต้องมานั่งหารือกันเพื่อหาจุดที่อยู่ตรงกลางการกำหนดเกณฑ์ที่มีเกินไป จะทำให้นักลงทุนหนีไปลงทุนต่างประเทศ

ด้านนายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้ชื่อ “บิทคับ” กล่าวว่าหลักการกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีนั้นยังไม่สรุป อยู่ในขั้นตอนการเปิดรับฟังความคิดเห็นของ ก.ล.ต. อย่างไรก็ตามมองว่าคนส่วนใหญ่อาจไม่มีรายได้มากขนาดนั้น ซึ่งมองว่าข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี โดยต้องมีรายได้ต่อปี 1 ล้านบาทต่อปี หรือมีสินทรัพย์สุทธิ ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป อาจเป็นการสกัดกั้นนักลงทุน

ซึ่งในการออกข้อกำหนดต่างๆ ออกมาอยากให้หาวิธีการที่ดีสุด เพราะการควบคุมมากเกินไปอาจทำให้นักลงทุนหนีไปลงทุนกับผู้ให้บริการไม่มีไลเซ่น หรือ ไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงการลงทุนมากกว่าส่วนการทดสอบความรู้เกี่ยวกับการลงทุนคริปโตนั้นเห็นด้วย โดยการลงทุนคริปโตนั้นถือเป็นโอกาส แต่ก็มีความเสี่ยง

อนึ่ง ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว สาระหลัก ประกอบด้วย 1.คุณสมบัติของผู้ลงทุน โดยมีี1.ฐานะการเงิน โดยต้องมีรายได้ต่อปี ไม่รวมคู่สมรส 1 ล้านบาท ต่อปี หรือมีสินทรัพย์สุทธิ ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และ 2.ความรู้ โดยผู้ลงทุนจะต้องมีประสบการณ์ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี หรือมีประสบการณ์ลงทุนในหลักทรัพย์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ กลต. กำหนด เช่น ผู้แนะนำการลงทุน, นักวิเคราะห์การลงทุน หรือผู้ที่ถือ CFA, CISA, CAIA หรือ CFP  และ 2. การกำหนดให้ผู้ลงทุนต้องผ่านการทดสอบความรู้ แบบทดสอบความรู้ผู้ลงทุน ครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่ ลักษณะของสกุลเงินดิจิทัล ความเสี่ยง และผลตอบแทน โดยผู้ที่จะเข้าไปลงทุนได้ต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 

ที่มา : หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,659 วันที่ 7 - 10 มีนาคม พ.ศ. 2564