โควิด-19 ป่วนทุกการลงทุน

25 พ.ย. 2563 | 05:25 น.

บลจ.ทาลิสรับโควิด-19 ทำให้การลงทุนกลับหัว แนะติดทองคำในพอร์ต เหตุความไม่แน่นอนยังสูง บลจ.วีดอกเบี้ยยังตํ่าอีก 2-3 ปี แนะลงทุนในสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป  

ในเวทีสัมมนา Wealth Forum: ลงทุนอย่างไรให้รวย ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและฐานเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วง “ติดดอย กองทุนร่วม แก้พอร์ตอย่างไร” โดยมีนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และนางสาวนิตยา เลิศแสงเพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์และช่องทางบริการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วี ร่วมเสวนา

 

นายประภาสกล่าวว่า การลงทุนในปัจจุบันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจากประสบการณ์ทำงานและการลงทุนส่วนตัวมา 30 ปีพบว่า ปีนี้ทุกอย่างกลับหัวตีลังกาไปหมด ทั้งเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกแทบทุกปี มีขาดทุนอยู่แค่ 1-2 ปีเท่านั้น และคิดเป็นอัตราที่น้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น แต่มาปีนี้กองรีทให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 20% แซงหน้าตลาดหุ้นไทยที่ติดลบ 12% ไปแล้ว

 

ส่วนตราสารหนี้ที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงตํ่า ปัจจุบันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะยาว เพราะถ้ามองไปในอนาคต เมื่อมีวัคซีนโควิด-19 ออกมา จะทำให้เศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว แต่ขณะเดียวกันเชื่อว่า ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะยังกดดอกเบี้ยตํ่าต่อไปเพื่อให้มั่นใจว่า เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวนั้นจะฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็ง 

 

ดังนั้น การใช้มาตรการคิวอี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายขาดดุลงบประมาณยังจำเป็น ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งจะกระทบทำให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวลดลง

 

“การจับจังหวะลงทุนในปีนี้ยากมาก แม้เราจะประเมินว่า ท้ายที่สุดจะมีวัคซีนออกมาและจัดพอร์ตลงทุนให้สอดรับกับเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัว แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เป็นปีที่ยากมากในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต้องดูเป็นรายบุคคลไปเลย”

 

ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์

อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นว่า ทวีปเอเชียสามารถรับมือโรคระบาดได้ดีกว่าทวีปอื่นๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว ยิ่งมีความชัดเจนเรื่องการพัฒนาวัคซีนจะหนุนเงินทุนไหลเข้า อย่างประเทศไทยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 8 แสนล้านบาท พึ่งจะกลับเข้ามาในทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้ หลังไทยควบคุมการระบาด
ได้ดี 

 

นายประภาสกล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ การป้องกันเชื้อโรค ส่วนธุรกิจที่น่าเป็นห่วงคือผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปรับตัวรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้ทัน ไม่มีการนำระบบออนไลน์มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ 

 

สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยรวมเงินปันผลในปีหน้าคาดหวังไว้ที่ระบาด 8-10% ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนยังคงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้น 50-60% ตราสารหนี้ 20% เน้นตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 3 ปี แม้ผลตอบแทนไม่สูง แต่ค่อนข้างปลอดภัย 

 

ส่วนทองคำยังควรติดพอร์ตการลงทุนไว้บ้าง เพราะความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง ส่วนคริปโตเคอเรนซี่เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจสามารถติดพอร์ตไว้ได้ 1-2% เป็นเสมือนการทดลองลงทุน

นางสาวนิตยากล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับตํ่าต่อไปอีก 2-3 ปี และอเมริกาจะยังคงอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบต่อเนื่อง ทำให้มีเงินสภาพคล่องในระบบจำนวนมาก ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อน ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังน่าสนใจ 

 

นิตยา เลิศแสงเพชร

 

ขณะที่การลงทุนทองคำยังน่าสนใจ จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับตํ่า และหากเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าจากเศรษฐกิจฟื้นตัว จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ส่งผลให้ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน ส่วนตราสารหนี้และหุ้นเทคฯ แม้ปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่ให้มองระยะยาว ดังนั้น ธีมการลงทุนในปีหน้า สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับกลาง แนะนำลงทุนหุ้น 50% ลงทุนตราสารหนี้ 40 % และลงทุนในทองคำ 10% 

 

“หลังโควิด-19 มุมมองการลงทุนเปลี่ยนไป โดยหาสินทรัพย์การลงทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น หุ้นเทคโนโลยี แม้ราคาปัจจุบันจะลงมา แต่เชื่อว่าระยะยาว ประชาชนยังคงชอปปิง ออนไลน์ 5G กำลังมา ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง บริษัทยังคงแนะนำทยอยสะสม และจากที่ธนาคารกลางต่างๆ ยังคงทำ QE ทำให้เงินดอลลาร์อ่อน ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ แต่ต้องเลือกลงทุนในประเทศ ที่ราคายังไม่แพง” 

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,630 วันที่ 26-28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563