5 ปัจจัยหนุนโบรกปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย STGT

10 ก.ค. 2563 | 11:46 น.

โบรกแห่เพิ่มราคาเป้าหมาย STGT ขึ้นเท่าตัว มาอยู่ระดับ 85.0 - 91.0 บาท จากปัจจัยหนุนทั้ง ความต้องการถุงมือยางที่มีต่อเนื่อง จากการแพร่ระบาดของโควิด หนุนออเดอร์บริษัทฯ ยาวถึงปีหน้า  ความสามารถในการปรับขึ้นราคาขาย   ความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบผลิตต่ำ  

10 ก.ค. 63  หุ้นถุงยางมือ"บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย)" หรือ STGT ปิดตลาดวันนี้ ยืนระดับ 74.50 บาท เปลี่ยนแปลง -0.25 บาท หรือ -0.33% (จากราคาเมื่อ 9 ก.ค. 63) และเทียบจากราคาไอพีโอที่ 34.0 บาทถือว่าปรับขึ้นมาแล้วถึง119.12%  

อย่างไรก็ดีบรรดาโบรกแห่ปรับขึ้นราคาเป้าหมาย STGT เพิ่มเท่าตัว มาอยู่ระดับ 85.0 - 91.0 บาท จาก 5 ปัจจัยสนับหนุน นั่นคือ 1.ความต้องการถุงมือยางที่มีต่อเนื่อง จากการแพร่ระบาดของโควิดที่คาดจะกลับมาระลอกสอง  หนุนออเดอร์ของบริษัทฯ ยาวถึงปีหน้า  2.ความสามารถในการปรับขึ้นราคาขาย  3. การรุกขยายกิจการของบริษัท 4. ความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบผลิตต่ำ และ 5 ราคาหุ้นเมื่อพิจารณาจากค่าพี/อี เรโช ยังต่ำกว่าบริษัทผลิตถุงมือยางในมาเลเซีย 

 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (เมื่อ10 ก.ค.63 ) มีมุมมองบวกกับหุ้น STGT กับแนวโน้มอุปสงค์ถุงมือยางที่เติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาวะการระบาดของ COVID-19 คาดว่า STGT จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มจากการที่บริษัทมีแผนขยายการผลิตในระยะยาวเเล้ว  หากไม่รวมรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน คาคว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ STGT จะเติบโตเฉลี่ยต่อปีถึง 72.7% ในอีก 3 ปีข้างหน้าเป็น 2.6 พันล้นบาทในปี 2565 จากแผนการรุกขยายกิจการ และ อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น คาดว่ารายได้รวมจะโตถึง 543% YoY เป็น 1.85 หมื่นล้านบาทในปี 2563 จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเพราะการระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะดันให้อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น นอกจากนี้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะพุ่งขึ้นเป็น 26.0% ในปี 2563 จาก 12.0% ในปี 2562 เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และการที่สามารถขึ้นราคาขายได้ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด

 

โดยคาดว่าอุปสงค์ถุงมือยางทั่วโลกจะโตอย่างน้อย 12.0% YoY ในปี 2563 เนื่องจาก 1) มาตรฐานด้านสุขอนามัยที่สูงขึ้น และความตื่นตัวเรื่องการรักษาสุขภาพ 2) กฎเกณฑ์ด้านสาธารณสุขที่เข้มงวดมากขึ้น และ 3) การเกิดโรคติดต่อและโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปริมาณยอดขายของ STGT ในปี 2562-2565จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 18.5% จาก 1.99 หมื่นล้านชิ้นในปี 2562 ตามอุปสงค์ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
เพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ถุงมือยางที่พิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง STGT มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตในระยะยาว โดยในปี 2563 STGTได้เพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 3.26 หมื่นล้นชิ้นปี จาก 2.72 หมื่นล้านชิ้นปีในปี 2562 สำหรับในระยะยาว STGT มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5 หมื่นล้านชิ้นปีในปี  2567 , 7 หมื่นล้านชิ้นปีในปี 2571 และ เป็น 1 แสนล้านชิ้นปีในปี  2575

ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ใหม่ที่ 91.00 บาท (จากเดิมที่ 41 บาทต่อหุ้น ) อิงจาก PER ที่ 32.5X เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาวของคู่แข่งที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันที่สุด การกำหนดราคาเป้าหมายดังกล่าวเนื่องจากคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะโตเฉลี่ยถึงปีละ 72.7% ในช่วง 3 ข้างหน้า โดยจะมาจากอุปสงค์ถุงมือยางที่สูงขึ้นทั่วโลกจากการระบาดของ COVID-19

 

บล.เคทีบี(ประเทศไทย) คงแนะนำ "ซื้อ" หุ้น STGT ซึ่งได้ปรับราคาเป้าหมายเป็น 85.00 บาท อิงพี/อี ปี 2563 ที่ 29 เท่า เทียบเท่า +1SD above 5-yr average PER ของ peer (4 ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย) จากเดิมราคาเป้าหมายที่ 47 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น จาก 3 ปัจจัยหลักประกอบด้วย ความต้องการใช้ถุงมือยางยังคงสูงต่อเนื่อง โดยยอดคำสั่งซื้อถุงมือยางมีไปถึงครึ่งหลังปี 2564 จากสถานการณ์โควิด-19  ที่ยังคงเพิ่มขึ้นในหลายประเทศและการกลับมาระบาดรอบ 2 ในอีกหลายประเทศ  

ปัจจัยต่อมาได้แก่ บริษัทสามารถปรับราคาขายในช่วงครึ่งหลังปี 2563  ได้มากกว่าที่คาดเดิม โดยจะปรับเพิ่มขึ้นทันทีครั้งเดียวจากครึ่งปีแรกราว 30-45% (จากเดิมที่ค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ +5%) และปัจจัยสุดท้าย Gross profit margin (GPM) จะดีขึ้น จากการปรับสัดส่วนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ (ยางสังเคราะห์) มากขึ้นเป็น 40-45% ของกำลังการผลิต เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตต่ำกว่ายางธรรมชาติ 
ดังนั้นได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น 49% เป็น 4,200 ล้านบาท  และปี 2564  เพิ่มขึ้น +45% เป็น 4,550 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +100% จากราคาไอพีโอที่ 34.00 บาท จากความต้องการของของถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นมากจากโควิด-19  อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าราคาหุ้นจะยังคง outperform จาก outlook ที่ยังดีต่อ 

 

 

ข่าวเกี่ยวข้อง

STGT ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 1 แสนล้านชิ้นในปี 2575 

STGT เทรดวันแรก เหนือจอง 62.5%​​​​​​​

STGT ดัน"เสี่ยยักษ์" มั่งคั่งทันตา 1,343 ลบ. ​​​​​​​

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ทำให้ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรสุทธิรายไตรมาส2 ถึงไตรมาส4/63 จะทำสถิติใหม่ได้ทุกไตรมาส จากราคาขายเฉลี่ยที่ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นตลอดปีนี้ ซึ่งจากการเผยแผนการปรับราคาวานนี้ ทำให้ต้องปรับประมาณการกำไรขึ้นอีก 18%เป็น 3.85 พันล้านบาทขยายตัว 6 เท่าจากปีก่อน 

 

นอกจากนี้ ด้วยโครงสร้างอุตสาหกรรมถุงมือยางที่แข็งแกร่งขึ้นในภาพรวมทั้งราคาขายที่ดี ต้นทุนต่ำ และปริมาณขายที่หนาแน่นมากกว่าอุปทาน จึงได้จึงปรับมาใช้ P/E เฉลี่ยกลุ่ม +0.5SD ที่ 24 เท่าเป็นจุดอ้างอิง ได้ราคาเหมาะสมใหม่ 76.00 บาท/ หุ้น คงเหลือ upside 11% จากเดิมที่ 56 บาทต่อหุ้น ยังคงได้คำแนะนำ "ซื้อ" อย่างไรก็ดีหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 100% ใน 4 วัน อาจทำให้มีความผันผวนของราคาระหว่างนี้ได้ 

 

นอกจากนี้คาดว่าในไตรมาส 2/63  STGT จะมีกำไรสุทธิ  881 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109% จากไตรมาส 1/63 และเพิ่มขึ้น 392% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังกำลังการผลิตใหม่เข้ามาระหว่างไตรมาส 1/63 และคาดยอดขายรวม 7,200 ล้านชิ้น ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยคาดจะเริ่มปรับตัวขึ้น +9.4% จากไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องจากการกำหนดราคาที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกนั้น ได้เริ่มสะท้อนความต้องการที่สูงเข้ามาหลังโรคระบาดโควิด-19   เริ่มแพร่ระบาดระหว่างไตรมาส 1/63  ขณะที่ราคาขายก็ปรับขึ้นอีกราว 15% ในไตรมาส 3/63 และยืนราคาต่อในไตรมาส 4/63 เพื่อให้สอดคล้องกับตลาด

 

บล.เอเซีย พลัส แนะ "ซื้อ " ประเมินราคาพื้นฐาน STGT ปี 2563 ใหม่เท่ากับ 90 บาทจากเดิมที่  45 บาท โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจมาก มีค่า PER ปี 2563 ที่ 23 เท่า และ PBV ปี 2563 ที่ 5 เท่า ซึ่งมี Valuation น่าสนใจกว่าหุ้นที่ผลิตถุงมือยางในมาเลเซียมาก ที่ปัจจุบันซื้อขายที่ค่า PER เฉลี่ยราว 35 เท่า ทั้งที่ผู้ประกอบการถุงมือยางจากมาเลเซียส่วนใหญ่ใช้ EPS กลางปี 2564 มาคำนวณ PER (เพราะปิดปีบัญชีกลางปี 2564) ซึ่งได้ผลบวกจากการปรับเพิ่มราคาขายเต็มปี แต่ก็ยังซื้อขายที่ค่า PER สูงกว่า STGT มาก  

 

ขณะที่บล.กสิกรไทย เพิ่มราคาพื้นฐานหุ้น STGT เป็น 85.0 บาท จากเดิมที่ 43.4 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาใหม่เมื่อคำนวณด้วยพี/อี เรโชปี 2563 จะอยู่ที่ 25.4 เท่า เพราะได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-2565 ขึ้น เพื่อสะท้อนราคาขายและยอดขายที่สูงขึ้น 

 

บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)  ระบุ มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรของ STGT ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่ด้วยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 101% จากราคา IPO และมีความเสี่ยงในการถูกซื้อขายในบัญชี Cash balance ทำให้ในช่วงสั้นอาจเผชิญแรงขายทำกำไร ในเชิงกลยุทธ์อาจทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัวมองว่าระดับราคาต่ำกว่า 67 บาท เป็นจุดทยอยสะสม