ครึ่งปีหุ้นไทยสูญ 2.3 ล้านล. ลุ้นครม.ใหม่กู้เศรษฐกิจ

06 ก.ค. 2563 | 20:30 น.

ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกทรุด 15.24% มาร์เก็ตแคปหาย 2.3 ล้านล้านบาท โบรกมองครึ่งปีหลังฟื้นตัว ลุ้นทีมครม.ใหม่ เข้ามากู้เศรษฐกิจ แนะเน้นลงทุน เห็นผลชัดกว่ากระตุ้นการบริโภค 

จบครึ่งแรกปี 2563 ไปแบบที่เรียกได้ว่า ตลาดหุ้นไทยเจอกับมรสุมที่หนักหนาสาหัส แต่ก็ผ่านพ้นมาได้อย่างล้มลุกคลุกคลาน โดยดัชนีหุ้นไทยครึ่งปีแรกปิดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 อยู่ที่ 1,339.03 จุด ลดลง 240.81 จุด หรือ 15.24% จากวันที่ 30 ธันวาคม 2562 ปิดที่ 1,579.84 จุด ซึ่งดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,600.48 จุด เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 ส่วนตํ่าสุดอยู่ที่ 1,024.46 จุด เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ขณะที่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) วันที่ 30 มิถุนายน 2563 อยู่ที่ 14,411,382.02 ล้านบาท ลดลง 2,336,073.81 ล้านบาท จากวันที่ 30 ธันวาคม 2562 อยู่ที่ 16,747,455.83 ล้านบาท 

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย)จำกัดเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้ดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากเริ่มคลายกังวลกับสถานการณ์ไวรัส
โควิด-19 โดยคาดว่า จะพีคที่สุดในเดือนกรกฎาคม 2563 เนื่องจากหลายประเทศเริ่มคลาย Lockdown และเริ่มเปิดประเทศตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน สะท้อนให้เห็นว่าแต่ละประเทศเริ่มควบคุมการแพร่ระบาดได้ ซึ่งจะเห็นการเปิดหมดภายในเดือนกรกฎาคมนี้ 

ครึ่งปีหุ้นไทยสูญ 2.3 ล้านล. ลุ้นครม.ใหม่กู้เศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม มองว่าดัชนีหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังจะปรับขึ้นได้ไม่ไกล จากจุดตํ่าสุดที่ 969 จุด มาจนถึงระดับกลางๆ ในปัจจุบัน และจะถึง 1,500 จุดได้นั้นไม่ง่าย เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นเหมือนกันทั่วโลก โดยเศรษฐกิจที่พังต้องมีการฟื้นฟู แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยในไตรมาส 3 ปี 2563 ยังออกมาแย่และปีนี้คาดว่าจะติดลบ มากกว่า 8.1% ทั้งนี้ หากมีความชัดเจนเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจว่าจะติดลบตามจริงอยู่ที่เท่าไหร่ มองว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับขึ้นได้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งคาดว่าไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 1,460 จุด จากนั้นอาจจะซึมลง และไตรมาส 4 จะดีขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ 

“ในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยมีเหตุการณ์ที่สำคัญ 2 เหตุการณ์ คือ สงครามการค้าสหรัฐกับจีน และไวรัสโควิด -19 ทำให้ตลาดปรับลดลงไป 30-40% ซึ่งปัจจุบันถือว่าคลี่คลายได้ครึ่งทางแล้ว ส่วนราคาหุ้นปรับขึ้นเกือบอยู่ในระดับเดิม และหุ้นที่ราคาดีก็ยังดีอยู่ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังมีตัวเลือกน้อย นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการเมืองในประเทศที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนตัวมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดทุน เพราะครม.ชุดใหม่จะเข้ามากู้เศรษฐกิจ โดยเน้นกระตุ้นการลงทุน ทำให้เห็นผลต่อเศรษฐกิจชัดเจนกว่าที่ผ่านมาเน้นกระตุ้นการบริโภคที่ไม่ได้ผล”

สำหรับธีมการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คือ อิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเลือกหุ้นที่ถูกกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด แต่ราคายังไม่ขึ้น อย่างกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แนะนำ PTTGC, IVL และ PTT กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ LH, SPALI, AP และ ORI กลุ่มห้างสรรพสินค้า แนะนำ CRC กลุ่มที่มีประเด็นเฉพาะตัว แนะนำ ADVANC และกลุ่มที่มีเงินปันผลสูง แนะนำ TISCO ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความเสี่ยง 

“ในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยมีเหตุการณ์ที่สำคัญ 2 เหตุการณ์ คือ สงครามการค้าสหรัฐกับจีน และไวรัสโควิด -19 ทำให้ตลาดปรับลดลงไป 30-40% ซึ่งปัจจุบันถือว่าคลี่คลายได้ครึ่งทางแล้ว ส่วนราคาหุ้นปรับขึ้นเกือบอยู่ในระดับเดิม และหุ้นที่ราคาดีก็ยังดีอยู่ ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังมีตัวเลือกน้อย นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการเมืองในประเทศที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนตัวมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดทุน เพราะครม.ชุดใหม่จะเข้ามากู้เศรษฐกิจ โดยเน้นกระตุ้นการลงทุน ทำให้เห็นผลต่อเศรษฐกิจชัดเจนกว่าที่ผ่านมาเน้นกระตุ้นการบริโภคที่ไม่ได้ผล” 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มการ
ลงทุนในวิถีปกติใหม่ (New Normal) ที่หลังจากนี้นักลงทุนอาจจะต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง เพราะคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับตํ่ามาก และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (คิวอี) เพื่อประคับ ประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สินทรัพย์ลงทุนหลักของโลกแพงขึ้นทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น 

 

 

หน้า 14 ฉบับที่ 3,589 วันที่ 5 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563