ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม "ดาวโจนส์" ปิดพุ่งขึ้น 553.16 จุด หรือ +2.21% ยืนที่ 25,548.27 จุด ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 44.36 จุด หรือ +1.48% ปิดที่ 3,036.13 จุด ส่วนดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 72.14 จุด หรือ +0.77% ปิดที่ 9,412.36 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ล่าสุดดีดขึ้นมายืนเหนือระดับ 25,000 จุดได้อีกครั้งเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกว่า เศรษฐกิจสหรัฐและประเทศต่างๆทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยอังกฤษเตรียมเปิดห้างสรรพสินค้าและธุรกิจบางส่วนในวันที่ 1 มิ.ย.ตามมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์เฟสที่สอง ขณะที่เยอรมนีเตรียมยกเลิกคำเตือนการเดินทางไปยัง 31 ประเทศในยุโรปในช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้
ส่วนในสหรัฐนั้น ขณะนี้ทั้ง 50 รัฐในสหรัฐได้กลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยล่าสุดนายเกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสประกาศว่า บริเวณพื้นที่ทานอาหารในร้านภายในศูนย์การค้าและคอร์สเรียนสอนขับรถจะกลับมาเปิดให้บริการได้ทันที ขณะที่สวนน้ำจะกลับมาเปิดอีกครั้งในวันศุกร์นี้โดยจะรับผู้เข้าใช้บริการ 25% ของความจุปกติ ส่วนกิจกรรมกีฬาเพื่อการสันทนาการสำหรับผู้ใหญ่จะกลับมาเปิดได้ตามปกติในวันอาทิตย์นี้
การทยอยเปิดเศรษฐกิจของประเทศต่างๆเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก
โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 5.79% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ทะยานขึ้น 8.47% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 6.9% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 7.15% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 7.26% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 6.45
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงจับตาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งสถานการณ์ในฮ่องกงอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้รายงานต่อสภาคองเกรสสหรัฐว่า ฮ่องกงไม่ได้มีความเป็นอิสระในการปกครองตนเองจากจีนอีกต่อไป โดยการดำเนินการดังกล่าวของนายปอมเปโออาจกระทบต่อสถานะพิเศษของฮ่องกง ซึ่งได้รับการเอื้อประโยชน์ทางการค้ากับสหรัฐ