เหลืออะไรให้“คาดหวัง”กับตลาดการเงินหลังวิกฤติ

23 พ.ค. 2563 | 03:10 น.

โลกของการลงทุน สิ่งที่จะทำให้เราพบกับความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การปรับตัวตามความเสี่ยงระยะสั้น แต่ต้องรู้จักเลือกสินทรัพย์ทางการเงินที่สามารถทำกำไรในระยะยาวได้ด้วย

แต่ด้วยผลจากวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ พื้นฐานของทุกสินทรัพย์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นคำถามว่า Expected Returns ของแต่ละสินทรัพย์ควรเปลี่ยนเป็นเท่าไหร่ จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ “ต้องรู้” 

ไม่ใช่เรากลุ่มเดียวที่อยากรู้ ล่าสุดบลจ. J.P.Morgan Asset Management (JPMAM) ที่ประเมิน Expected Return ทุกปีผ่านรายงาน Long-Term Capital Market Assumptions ก็สนใจประเด็นนี้และปรับความคาดหวังของทุกสินทรัพย์ใหม่เช่นกัน  

ไล่เรียงจากสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุด ทีม JPMAM มองว่าเราคงหวังกับพันธบัตรรัฐบาลได้น้อยลงไปอีกหลังจากวิกฤติ

โดย Expected Returns ของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวสหรัฐฯ ถูกปรับลดผลตอบแทนลงมากที่สุดเหลือเพียง 0.3% จาก 1.6% บนการประเมินครั้งก่อน ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกก็คาดว่าจะให้ผลตอบ แทนเฉลี่ยเพียง 2.4% ในอนาคต

ประเด็นหลักมาจากผลของการใช้นโยบายการเงินที่มหาศาลเพื่อ ต้านวิกฤติ ทำให้แทบไม่เหลือผลตอบ แทนให้นักลงทุนที่ต้องการเฉพาะความปลอดภัยอีกต่อไป แล้วควรเปลี่ยนไปหวังกับสินทรัพย์ไหนต่อ 

ใกล้ที่สุด JPMAM มองว่า อาจเป็นตราสารหนี้ ที่กลับมาน่าสนใจแม้ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเสี่ยงสูงขึ้น แต่การปรับฐานล่าสุด ผลตอบแทนคาดหวังของบอนด์เอกชนทั่วโลกก็สูงขึ้นด้วย

เหลืออะไรให้“คาดหวัง”กับตลาดการเงินหลังวิกฤติ

กลุ่มที่ถูกปรับ Expected Returns ขึ้นมากสุดคือ บริษัทสหรัฐฯที่ให้ยีลด์สูง (US High Yield Bonds)ที่จะหวังได้ถึง 6.9% โดยเฉลี่ยจากระดับก่อนวิกฤติที่ 5.2% ขณะที่กลุ่ม Investment Grade ก็มีผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มขึ้นเป็น 3.8%

วิกฤติรอบนี้ทำให้ความชันระหว่าง Risk/Reward สูงขึ้น สะท้อนว่า เราน่าจะเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจรอบใหม่ทันทีหลังวิกฤติ

ส่วนสุดท้าย JPMAM มองว่า เรายังสามารถหวังกับตราสารทุนได้ และอย่าประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบนี้ตํ่าเกินไป 

ถ้ามองจากตลาดการเงินปัจจุบัน หุ้นยุโรปจะมีผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มขึ้นมา 8.2% มากที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และสูงกว่าอเมริกาที่มีผลตอบแทนคาดหวังที่ 7.2%

ขณะเดียวกัน ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่กำลังยํ่าแย่ตอนนี้ กลับครองแชมป์ตลาดที่คาดหวังได้สูงสุดถึง 10.5% เพราะแม้ไม่มีแรงหนุนจากเทคโนโลยีสูงเท่าฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว แต่ที่สุดจะมีวัฏจักรเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวกลับมาสนับสนุนการเติบโตของกำไรมาช่วย

โดยสรุป ตลาดการเงินหลังวิกฤติเศรษฐกิจ แม้ไม่มีที่ยืนให้คนที่ไม่กล้ารับความเสี่ยง แต่ก็หวังผลได้มากกว่าช่วงก่อนวิกฤติ

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์การลงทุนของผมคือ “มองให้ไกล วิเคราะห์ให้เป็น และไม่ยึดติดอยู่แต่กับการลงทุนที่ใดที่หนึ่ง”

เพราะจากนี้ ความเสี่ยงจริงๆ ดูจะไม่ใช่ “ผลตอบแทนที่ตํ่าเกินไป” แต่เป็น “สินทรัพย์ปลอดภัยที่อาจสร้างความผิดหวังในระยะยาว”

แม้หลายคนบอกว่า ยังอยากอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัย เพราะไม่กล้า และตลาดก็ผันผวน แต่ถ้ามองจาก Expected Returns ปัจจุบัน ทางแก้ที่ถูกต้อง ควรเป็นการเริ่มเปิดใจศึกษาและยอมรับความเสี่ยงเครดิต (Credit Risk) หรือความเสี่ยงตลาด (Market Risk)  

ส่วนผู้ที่ลงทุนอยู่แล้ว บางคนอาจรู้สึกว่า วิกฤติครั้งนี้ ต้องมีเฉพาะการลงทุนที่ต้านวิกฤติได้ แต่ผมกลับเห็นต่าง ว่านโยบายเพื่อรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบัน  จะทำให้ภาครัฐมีขนาดที่ใหญ่เกินไป และความเสี่ยงภาษีที่สูงขึ้นจะตามมาในอนาคต

ระยะยาว จึงควรกระจายเพื่อลดความเสี่ยงการกระจุกตัวของการลงทุนในประเทศใหญ่เหล่านี้ ซึ่งคือการ “แบ่งความหวัง” ไปให้ที่ที่อาจไม่ดีตอนนี้ แต่ให้ผลตอบแทนคาดหวังที่ดีกว่า

ด้วยความหวังดีครับ

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,576 วันที่ 21 - 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2563