นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดเสนอขาย IPO กองทุนเปิดเค ซูเปอร์สตาร์ เพื่อการออมพิเศษ (K-SUPSTAR-SSFX) เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 63 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจและเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าผู้ลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน K PLUS และ K-My Funds ทั้งนี้ คาดว่าในอีก 2 วันสุดท้ายก่อนที่จะหมดช่วง IPO คือในวันที่ 9 – 10 เม.ย. 63 จะยังคงมีเม็ดเงินทยอยไหลเข้ากองทุนมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้กองทุน K SUPERSTAR SSFX จัดเป็นกองทุน SSF แบบพิเศษ ที่มีระยะเวลาเสนอขายเพียง 3 เดือนเท่านั้น โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 63 เพื่อนำไปหักลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้เพิ่มขึ้นอีก 200,000 บาท (ไม่รวมกับวงเงินซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน SSF แบบปกติ) และต้องถือครอง 10 ปี นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน
อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มตัวเลขเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในสถานการณ์ช่วงนี้ที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ต่างต้องปฏิบัติงานอยู่ที่บ้าน (Work from Home) ก็ไม่พลาดการรับข่าวสารที่ทางตลาดทุน รวมถึงบลจ.ต่างๆ พยายามสื่อสารออกไปในวงกว้าง อีกทั้งยังมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยและตระหนักได้ว่าในจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่เข้าลงทุน เนื่องจาก ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจากต้นปี และต่ำสุดในรอบ 8 ปี จึงเหมาะแก่การทำกำไรในระยะยาว
“สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ ยังคงมีความผันผวนสูงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงกว่า 50% จากต้นปี ซึ่งล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยเหลือ -5.3% ซึ่งนับเป็นอัตราการหดตัวที่มากที่สุดตั้งแต่ปี 2541 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 มีความรุนแรงและกระทบเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น ทำให้ทั้งการส่งออก การบริโภคได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีการหดตัวแรง ดังนั้น ความหวังหลักจึงอยู่ที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เห็นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเริ่มมีกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย หลังจากที่ตั้งแต่ต้นปีมียอดขายสุทธิกว่า 121,000 ล้านบาท จึงมองเป็นสัญญาณบวก ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 สามารถคลี่คลายลงได้ภายในไตรมาสที่ 2 คาดว่าอาจเห็นดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1350 จุดได้ภายในปีนี้ จากสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูงและการคาดหวังการฟื้นตัวของกำไรในปีหน้า หลังจากปีนี้ที่คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะลดลงจากปีก่อนอย่างมากทั้งจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และการปรับลดลงของระดับราคาน้ำมัน” นายวศินกล่าว