ดร. ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีทั้งปี 2563 คาดว่าหดตัว 5.0 %จากเดิมหดตัว 1.0 %ซึ่งเป็นอัตราหดตัว มากที่สุดตั้งแต่ปี 2541 โดยการปรับลดประมาณการจีดีพีรอบนี้ สะท้อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19)ที่รุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ยังคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลอยู่ที่อยู่ที่ 4.5% ของจีดีพีในปี 2563 อันเป็นผลจากการนำเข้าที่ลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ลดลง บนสมมติฐานว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ในระดับนึงในขณะที่การปิดเมืองของหลายประเทศทั่วโลกชะลอจำนวนนักท่องเที่ยวในระยะสั้น
"แม้จะยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาเมื่อใด แต่เรามองว่าการฟื้นตัวน่าจะเกิดขึ้นหลังไตรมาส 2 ของปี 2563 "
ขณะเดียวดันคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 0.25% ณ สิ้นปี 2563
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจเห็นธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือศูนย์ หรือติดลบ หากสถานการณ์แย่ลง แต่ถึงกระนั้น ประเทศไทยคงยังไม่ใช้มาตรการคิวอี เพราะยังมีความไม่ชัดเจนว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลถึงภาคธุรกิจจริงๆ อย่างไร
สำหรับ การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นศูนย์มีความเสี่ยงที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่า ประเด็นนี้ ธปท.น่าจะยังเป็นกังวลต่อความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเงินทุนไหลออก โดยมองว่านโยบายการคลังจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับศูนย์หรือติดลบ
ส่วนทิศทางค่าเงินนั้น ได้ปรับประมาณการค่าเงินบาท โดยมองว่าในช่วงกลางปีนี้อยู่ที่ระดับสูงกว่า 32.50 (จากเดิม 31.50) เพื่อสะท้อนการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะนี้ นอกจากนี้การโอนเงินปันผลกลับประเทศอาจส่งผลเพิ่มเติมต่อค่าเงินบาทในไตรมาส 2