เอ็มเอฟซีส่ง 2 กองทุน SSF หนุนการออมระยะยาว

01 เม.ย. 2563 | 08:31 น.

เอ็มเอฟซีส่ง 2 กองทุน SSF หนุนการออมระยะยาวเพื่ออนาคต พร้อมได้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะหุ้นไทยน่าลงทุน เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) 1-15 เม.ย. 63

นายสดาวุธ เตชะอุบล รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ. )  เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID – 19 ส่งผลให้ราคาหุ้นในปัจจุบันปรับตัวลดลง จนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างมาก จึงถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนระยะยาวโดยเห็นได้จากการประกาศซื้อหุ้นคืนผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19  แต่การที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อช่วยพยุงภาพรวมของเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจไทยปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี และฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังได้ เอ็มเอฟซีจึงมองว่า เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน พร้อมเปิดตัว  2 กองทุนเพื่อการออมระยะยาว( SSF) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจออมเงินลงทุนในระยะยาว และยังสามารถใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีด้วย

 

เอ็มเอฟซีส่ง 2 กองทุน SSF หนุนการออมระยะยาว

ทั้งนี้ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี หุ้นไทย เพื่อการออม หรือ MFC Thai Equity Super Savings Fund (MTQS)  เป็นกองทุนรวมตราสารทุน ลงทุนในตราทุน และ/หรือหน่วยลงทุนโดยมี net exposure ในตราสาร โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนนี้จะมีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ ชนิดเพื่อการออมพิเศษ (MTQ-SSFX) และชนิดเพื่อการออม (MTQ-SSF) และกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทยเฟล็กซิเบิล เพื่อการออม หรือ MFC Thai Flexible Super Savings Fund (MTFS) เป็นกองทุนรวมผสม ลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หน่วย infra หน่วย property REITs กองทุนรวมอีทีเอฟ เงินฝาก และ อื่นๆ กองทุนนี้จะมีให้เลือก 2 รูปแบบเช่นกัน ได้แก่ ชนิดเพื่อการออมพิเศษ (MTF-SSFX) และชนิดเพื่อการออม (MTF-SSF)

 

“ทั้งสองกองทุน MTQS และ MTFS ลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาด SET และหรือตลาด MAI โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และอาจลงทุนในกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ ไม่เกิน 25% ของ NAV โดยจะไม่ลงทุนใน Derivatives และ Structured Note ทั้งนี้มีนโยบายจ่ายปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยจะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) 1-15 เม.ย. 63”

สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษี ต้องถือครองหน่วยลงทุนกองทุน SSF และSSFX เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยนับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน สำหรับการลงทุนในกองทุน SSFX สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (ไม่รวมกับวงเงินซื้อหน่วยลงทุนกองทุน SSF แบบปกติ)  เริ่มซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน 2563 นี้ แตกต่างจากกองทุน SSF ที่สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ในปี 2563-2567 โดยกองทุน SSF สามารถหักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท แต่เมื่อรวมกับวงเงินหักลดหย่อนรวมในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วสามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีภาษี