โคโรนาทุบหุ้นไทยเดือนเดียวทรุด 200 จุด  

28 ก.พ. 2563 | 04:20 น.

“ไวรัสโคโรนา” แพร่เชื้อนอกประเทศจีนต่อเนื่อง หวั่นกระทบเศรษฐกิจวงกว้าง กดดันหุ้นไทยเข้าสู่ “ตลาดหมี” เต็มตัว กูรูจี้รัฐออกมาตรการทางการเงินช่วยเหลือ แนะลงทุนหุ้นปันผลระยะยาว มั่นใจราคาปรับขึ้นแน่นอน พร้อมกระจายความเสี่ยงเข้าลงทุนตลาดหุ้นเกิดใหม่และทองคำ

รายงานข่าวจากตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม-26 กุมภาพันธ์ 2563 ปรับตัวลดลงแรงถึง 213.43 จุด หรือ 13.50% โดยจุดตํ่าสุดอยู่ที่ 1,366.41 จุด ซึ่งเป็นดัชนีปิดของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ หลังจากเกิดความกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ที่แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตในประเทศจีนเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น แต่นอกประเทศจีนกลับพบผู้ติดเชื้อรายใหม่และเสียชีวิตมากขึ้น จนส่งผลให้เกิดความกังวลว่า จะกระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นวงกว้าง สะท้อนจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับลดลงรุนแรง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ต้องเข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” อย่างเต็มตัว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ตลาดหมีตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลง 22-23% ส่วนตั้งแต่ต้นปี 2563 ถึงปัจจุบันปรับลดลง 14% เป็นจุดที่ตํ่าที่สุดแล้ว โดยในอดีตตลาดหุ้นไทยเจอภาวะตลาดหมี 2 ครั้งใหญ่ คือ วิกฤติต้มยำกุ้ง ดัชนีปรับลดลง 90% และวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ดัชนีลดลง 60% นอกจากนี้ยังมีปัญหาการเมืองในประเทศเมื่อปี 2559 ปรับลดลง 27% และปี 2558-2559 ลดลง 25% แต่เหตุการณ์จบและฟื้นตัวได้เร็ว

โคโรนาทุบหุ้นไทยเดือนเดียวทรุด 200 จุด  

อย่างไรก็ตาม จากวิกฤติไวรัสโคโรนาที่กระทบเศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐบาลควรมีมาตรการทางการเงินเข้ามาช่วยเหลือด้วยการทำงบขาดดุลเพิ่มจาก 2-3% เป็น 4% เพื่อให้ผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงไม่รอการส่งออก และการท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ทั้งนี้มองว่าช่วงนี้เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว 3-4 ปี โดยเฉพาะหุ้นที่มีเงินปันผล หลังจากนี้คาดว่าราคาจะปรับขึ้นแน่นอน และแนะนำนักลงทุนกระจายความเสี่ยงในตลาดหุ้นเกิดใหม่และทองคำ

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ความกังวลประเด็นไวรัสโคโรนาขยายวงกว้างไปในประเทศ อื่นๆ โดยกังวลว่าประเทศไทยมีโอกาสเข้าสู่เฟส 3 กดดันภาพรวมเศรษฐกิจให้ชะลอลงอีก รวมถึงตลาดหุ้นยังขาดทั้งแรงหนุนจากเงินลงทุนจากนักลงทุน
ต่างชาติ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)ที่คอยพยุงตลาดในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐานแรงเสมอ อีกทั้งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่เน้นลงทุนระยะสั้น เช่น การใช้บัญชี Margin, Block Trade และ Robot Trade ต่างๆ เป็นต้น ทำให้หุ้นไทยปรับฐานแรงเวลาเผชิญปัจจัยลบ

ทั้งนี้ เชื่อว่าหุ้นไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับได้ หากเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นจีนที่เป็นจุดเริ่มต้นของไวรัส เคยปรับฐานลงไปตํ่าสุด -10.0% จากนั้นค่อยๆ ฟื้นตัวได้ ขณะที่หากย้อนกลับไปดูตลาดหุ้นไทยช่วงเกิดวิกฤติในอดีต เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 ปรับฐาน 85% ภายใน 2 ปีครึ่ง, วิกฤติซับไพรม์ ปี 2551 ปรับฐาน 56% ภายใน 5 เดือน และวิกฤติหนี้ยุโรปบวกกับนํ้าท่วมครั้งใหญ่ ปี 2554 ปรับฐาน 25% ภายในกว่า 2 เดือน เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่าเวลาเกิดวิกฤติ หุ้นไทยปรับฐานแรงมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งหลังจากเกิดวิกฤติทุกครั้งดัชนีจะฟื้นตัวได้เร็ว โดยใช้ระยะเวลาเพียง 2-3 เท่าของช่วงที่เกิดวิกฤติเท่านั้น

“ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะผันผวนจากประเด็นไวรัสโคโรนา แต่เชื่อว่าจะฟื้นตัวได้เร็วเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นจีน และวิกฤติอื่นๆ ในอดีต แนะนำให้นักลงทุนเฝ้ารอจังหวะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่ปรับฐานลงมาแรงในช่วงที่ผ่านมา”

หน้า 13-14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,553 วันที่ 1-4 มีนาคม 2563