ไอวีแอลเผยปี 62 การผลิตโต 18% จ่ายปันผล 1.225 บาทต่อหุ้น

27 ก.พ. 2563 | 06:58 น.

 

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล แถลงผลประกอบการประจำปีและไตรมาสที่ 4 ปี 2562  ว่า ไอวีแอลรายงานปริมาณการผลิตเติบโต 18% ในปี 2562 โดยเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการเป็นหลัก อัตรากำไรของทั้งอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงในปี 2562 ส่งผลให้กำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) ของไอวีแอลลดลง 20%  ทั้งนี้ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเพิ่มขึ้น 33% อยู่ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงและการพัฒนาความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน บริษัทฯ ได้เสนอให้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 1.225 บาทต่อหุ้นในปี 2562 

 

ไอวีแอลได้ริเริ่มโครงการหลากหลายโครงการเพื่อการเปลี่ยนแปลง ตามที่ได้ประกาศไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ในงาน Capital Markets Day โดยคาดว่าโครงการเหล่านี้จะเริ่มได้รับประโยชน์ในปี 2563 นี้และนำไปสู่การประหยัดต้นทุนจำนวน 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามเป้าหมายภายในปี 2566 การริเริ่มโครงการเหล่านี้และกลยุทธ์การเข้าซื้อสินทรัพย์เอทิลีนออกไซด์และโพรพิลีนออกไซด์แบบบูรณาการ (Integrated Ethylene and Propylene Oxide) ของบริษัท Huntsman (โครงการ Spindletop), การขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดประเทศอินเดียซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง, การตั้งทีมเฉพาะเพื่อขยายธุรกิจรีไซเคิล PET, การมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพจัดการเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพัฒนาผู้นำในองค์กร ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญของบริษัทฯ

อาลก โลเฮีย

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า ปัจจุบันไอวีแอลมี 3 กลุ่มธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนให้บริษัทฯเติบโตและสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องให้กับผู้มีส่วนได้เสีย โดยกลุ่มธุรกิจแรก คือกลุ่มธุรกิจ PET แบบองค์รวม (Combined PET)  ซึ่งรวมถึงสารตั้งต้นหลักและการดำเนินงานด้านรีไซเคิล  กลุ่มธุรกิจออกไซด์แบบบูรณาการและอนุพันธ์ ซึ่งรวมถึงกิจการในโครงการ Spindletop ที่ไอวีแอลเข้าซื้อเมื่อไม่นานมานี้และโรงงานก๊าซแครกเกอร์ IVOL ในรัฐหลุยส์เซียนา และกลุ่มธุรกิจเส้นใย ที่รองรับลูกค้าในกลุ่มยานยนต์ ไลฟ์สไตล์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย

 

ธุรกิจของเราที่ดำเนินการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก ประกอบด้วยการลงทุนในยุโรปและอเมริกาประมาณ 80% ทำให้โมเดลทางธุรกิจของเรามีความยืดหยุ่นต้านทานต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศหรือภูมิภาค ในขณะเดียวกัน กลยุทธ์สินค้าอุปโภคบริโภคที่ตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ความปลอดภัย และไลฟ์สไตล์ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตที่สูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP ต่อไปจากนี้ เราจะเสริมความแข็งแกร่งของไอวีแอลด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนต้นทุน การใช้สินทรัพย์อย่างเต็มศักยภาพ การเติบโตไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง การเป็นผู้นำธุรกิจรีไซเคิล และการพัฒนาทักษะผู้นำในองค์กร