ASPตั้งเป้ารายปี 63โต10% รุกซื้อขายหลักทรัพย์-เวลท์

26 ก.พ. 2563 | 10:54 น.

ASPเผยแผนธุรกิจปี 63 ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการเป็นผู้ให้บริการธุรกิจทางการเงินครบวงจร ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้โตไม่น้อยกว่า10% รุกธุรกิจบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ กองทุนรวม และเวลธ์แมเนจเม้นท์

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ในปี 2563 นี้ เป็นอีกปีหนึ่งที่การทำธุรกิจมีความความท้าทายสูง โดยมองว่าประสบการณ์ ความน่าเชื่อถือ และการบริการที่ครบวงจร เป็นสิ่งสำคัญที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเอเซีย พลัสฯ มีจุดเด่นด้านนี้อย่างครบถ้วน

ในปี 2563 เอเซีย พลัส กรุ๊ปฯ ตั้งเป้ารายได้รวมโตไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อนหรือราว 2,100 ล้านบาท โดยจะรุกธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่ ธุรกิจบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจแคปปิตอลมาร์เก็ต ซึ่งทุกขาธุรกิจดังกล่าว เอเซีย พลัส กรุ๊ปฯ ถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่ให้บริการเต็มรูปแบบ และประสบความสำเร็จ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดีมาถึงทุกวันนี้

กลุ่มบริษัทเอเซีย พลัสฯ ยังคงมุ่งเน้นการกระจายรายได้ไปในธุรกิจต่างๆ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางรายได้ โดยในส่วนของธุรกิจบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศนั้น มองว่ายังมีแนวโน้มดี ตลาดที่น่าลงทุนและเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี ได้แก่ ตลาดสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากยังมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 แต่รัฐบาลสหรัฐฯ และจีน พร้อมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม เทคโนโลยี เพราะเป็นเมกาเทรนด์ (Mega trend) หรือเลือกลงทุนใน Structured Products อย่าง FCN (Fixed coupon note) และพันธบัตรต่างประเทศ (Bond) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำกว่าการซื้อหุ้นโดยตรง และได้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ

ขณะที่ธุรกิจกองทุนรวม ในปีนี้จะเน้นลงทุนในกลุ่มที่สร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดอกเบี้ย (Yield Play) โดยเฉพาะกลุ่ม REITs และ Infrastructure ทั้งในไทย สิงคโปร์ และทั่วโลก เนื่องจากมองว่าธนาคารกลางทั่วโลก จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นน่าสนใจ  และยังเป็นการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงได้ด้วย

สำหรับธุรกิจเวลธ์แมเนจเม้นท์ (Wealth Management) ในปีนี้ ASP จะรุกตลาดมากขึ้นเช่นกัน เพราะมองว่าการลงทุนทั่วโลกมีความผันผวน จากปัญหาสงครามการค้า และไวรัสโคโรนา ที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ผู้ลงทุนจึงมองหาการลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนดี ทำให้ธุรกิจเวลธ์แมเนจเม้นท์ เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งในปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี.

ส่วนธุรกิจแคปปิตอลมาร์เก็ต ในปีนี้มองว่ายังเติบโต ผลจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ผู้ลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าดอกเบี้ย อย่างเช่น หุ้นกู้ภาคเอกชน ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้การขอสินเชื่อของผู้ประกอบการต่อสถาบันการเงินทำได้ยากขึ้น หลายแห่งจึงหันมาระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้แทน    

ส่วนธุรกิจ IB หรือวาณิชธนกิจ ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ 39 ดีล เป็นธุรกิจที่ปรึกษาการเงิน 11 ดีล และงาน IPO  28 ดีล  

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวถึง ธุรกิจบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังมีแนวโน้มชะลอตัว จากภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งกระทบกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ในตลาดหุ้น ทำให้คาดว่า การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นโดยเฉลี่ยของตลาดไทยปีนี้ จะติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้น เอเซีย พลัส กรุ๊ปฯ จึงมุ่งเน้นบริการด้านงานวิจัยที่มีคุณภาพ เพื่อเฟ้นหาหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุน

โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASPS) ในกลุ่มเอเซีย พลัสฯ มีทีมนักวิเคราะห์ขนาดใหญ่ วิเคราะห์ครอบคลุมทุกประเด็น ทุกกลุ่ม ปัจจุบันมีบจ.ภาย ใต้การศึกษาของ ASPS กว่า 80%ของมาร์เก็ตแคปรวมทั้งตลาด มากสุดเป็นอันดับหนึ่ง และจากพอร์ตการลงทุนจำลอง (Portfolio Model) ที่บริหารโดยสายงานวิจัยฯหลายปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนชนะ SET Index มาโดยตลอด

สำหรับปี 2562 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,918 ล้านบาท กำไรสุทธิ 359 ล้านบาท โดยมีรายได้จากธุรกิจบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศ 775 ล้านบาท สัดส่วน 40% ลดลงจาก 45% ในปีก่อน, รายได้จากธุรกิจกองทุนรวมและรายได้จากธุรกิจบริหารสินทรัพย์  495 ล้านบาท สัดส่วน 26% เท่าปีก่อน รายได้จากธุรกิจแคปปิตอลมาร์เก็ต และวาณิชธนกิจ 307 ล้านบาท สัดส่วนเพิ่มเป็น 16% จาก 14% ปีก่อน และรายได้จากธุรกิจการลงทุนของบริษัทเอง 307 ล้านบาท เพิ่มเป็น 18% จาก 14% ปีก่อ