ปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างไร  ให้ธุรกิจไทยอยู่ยั่งยืน

18 ม.ค. 2563 | 05:20 น.

ภายใต้ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจไทย ทั้งผลจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และภัยพิบัติทางธรรมชาติในประเทศที่ผ่านมา กำลังส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะฟันเฟืองที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยคือ กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ ทำให้กลุ่มธุรกิจบางกลุ่มเริ่มขาดสภาพคล่อง และความสามารถในการชำระหนี้เสื่อมลง หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธีและทันท่วงที อาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคตและความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลง จนอาจกลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL)ในที่สุด

การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นหนึ่งในวิธีแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้หนี้ดี หรือหนี้ปกติเสื่อมค่าลงจนกลายเป็นหนี้ที่มีปัญหา หรืออาจเป็นการแก้ไขฟื้นฟูหนี้ที่มีปัญหาให้กลับมามีสถานะเป็นหนี้ปกติ โดยเฉพาะกับลูกหนี้ที่ประสบปัญหาระยะสั้น เพราะผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังพอมีความสามารถในการหารายได้ หรือมีแนวโน้มที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจและแข่งขันในตลาดได้ต่อไป ช่วยลดความสูญเสีย ทั้งต่อสถาบันการเงินและลูกหนี้ให้น้อยที่สุด ซึ่งมีแนวทางที่สำคัญ ดังนี้

1.เร่งติดตามดูแลลูกหนี้โดยเร็ว สถาบันการเงินควรมีกระบวนการและระบบงานสำหรับติดตามสถานะลูกหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อส่งสัญญาณเตือน หากสถานะทางการเงินหรือความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ด้อยลง ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้ได้อย่างทันท่วงที

2.ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่มีศักยภาพด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสม สถาบันต้องประเมินได้ว่า ลูกหนี้ประสบปัญหาชั่วคราว โดยยังคงมีกระแสเงินสด(Cash Flow) จากการดำเนินงานที่ชัดเจน เพียงแต่กระแสเงินสดขณะนั้น ไม่ได้สะท้อนถึงฐานะและผลการดำเนินงานที่แท้จริงของกิจการในภาวะปกติ ซึ่งหากลูกหนี้ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมแล้ว ลูกหนี้มีแนวโน้มที่จะกลับมามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดังเดิม

3.เริ่มปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่มีสัญญาณผิดนัดชำระ สถาบันการเงินต้องเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ และดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างทันท่วงที หากเริ่มเห็นสัญญาณการชำระหนี้ของลูกหนี้มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ หรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขสินเชื่อ เพื่อลดความสูญเสียจากการที่ลูกหนี้กลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มโอกาสของความสำเร็จของแผนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ด้วยเช่นกัน

ปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างไร  ให้ธุรกิจไทยอยู่ยั่งยืน

 

 

4.ติดตามผลหลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิด สถาบันการเงินควรจัดให้มีการประเมินคุณภาพหนี้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยการจัดให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิด และรายงานความคืบหน้าและผลประเมินต่อหน่วยงานและผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง และกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหา หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

5.ลูกหนี้ควรติดต่อสถาบันการเงินโดยเร็วเมื่อเริ่มมีปัญหา ในส่วนของลูกหนี้เมื่อเริ่มรู้ว่ามีปัญหาสภาพคล่อง ควรรีบติดต่อสถาบันการเงินแต่เนิ่นๆ เพื่อร่วมมือกับสถาบันการเงินแก้ไขปัญหา ในหลายกรณีที่ลูกหนี้ไม่ให้ข้อมูลหรือไม่ติดต่อสถาบันการเงินโดยเร็ว อาจทำให้ปัญหาลุกลามจนแก้ไขได้ยากหรือกลายเป็น NPL ในที่สุด

 

เพื่อสนับสนุนให้สถาบันการเงินติดตามลูกหนี้อย่างใกล้ชิดและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ในฐานะผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน ได้ออกหนังสือเวียนเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ไปยังสถาบันการเงิน เพื่อซักซ้อมและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และแนวนโยบายการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะสถาบันการเงินซึ่งจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2563 เพื่อส่งเสริมให้สถาบันการเงินสามารถดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และปรับการจัดชั้นลูกหนี้ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่มีแนวโน้มเครดิตดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ SMEs ให้สามารถขอสินเชื่อใหม่เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และสามารถพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างทันท่วงที 2

 

คอลัมน์ยังอีโคโนมิสต์

โดย : จุฑารัตน์ เลิศสกุลพันธ์

ฝ่ายตรวจสอบ 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย

หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,540 วันที่ 16-18 มกราคม 2563