นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และรักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษก สศค. เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคในประเทศเป็นสำคัญ ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2562 และ 2563 นั้น จะทบทวนและประกาศอีกครั้งในเดือนมกราคม 2563 ต่อไป
ส่วนเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยายตัวดี โดยได้รับขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศ โดยการบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ บนฐานการใช้จ่ายในประเทศขยายตัว 3.7% ต่อปี
ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัว 1.8% อย่างไรก็ตาม ปริมาณรถจักยานยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลงโดยติดลบ 6.8% ขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งติดลบ 16.4% สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับลดลงมาอยู่ที่ 57.9 เป็นผลจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าไทย และความกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
ด้านการส่งออก ในเดือนพฤศจิกายน การส่งออกติดลบ 7.4% เป็นผลจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าของไทย ในหมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ ทองคำ ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป โดยตลาดส่งออกที่ยังขยายตัว คือ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และตะวันออกกลาง
ส่วนการนำเข้าในเดือนพฤศจิกายนติดลบ 13.8% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 548.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมีทั้งสิ้น 3.36 ล้านคน ขยายตัว 5.9% ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก ขยายตัวได้ 18.3% นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวจากไต้หวัน อินเดีย และรัสเซียที่ยังขยายตัวได้ โดยสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถึง 166,897 ล้านบาท ขยายตัว 3% ต่อปี
ขณะที่ ภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอลงโดยติดลบ 2.7% ต่อปี เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวติดลบ 8.3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 92.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากผู้ประกอบการมีการเร่งผลิตเพื่อชดเชยวันทำงานที่น้อยลงเนื่องจากวันหยุดเทศกาลในเดือนธันวาคม รวมทั้งมียอดคำสั่งซื้อและยอดขายเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 2% ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.5%
ส่วนอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.1% ของกำลังแรงงาน ด้านสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ 41% ต่อจีดีพี ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้