ธอส.เคลียร์ชัดๆ ‘บ้านดีมีดาวน์’

14 ธ.ค. 2562 | 02:30 น.

ธันวาคมนี้ รัฐบาลจะดีเดย์ เปิดให้ประชาชน ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัย ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.บ้านดีมีดาวน์.com และจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 เพื่อรับเงินแคชแบ็ก(Cash Back) เป็นการลดภาระผ่อนดาวน์ จำนวน 50,000 บาท ให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยจำกัดผู้มีสิทธิ์ไว้ที่ 100,000 รายเท่านั้น

สำหรับคุณสมบัติการได้รับสิทธิ์ต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย อยู่ในระบบฐานภาษีของกรมสรรพากรและมีเงินได้พึงประเมินในปี 2561 ไม่เกิน  1 แสนบาท หรือ 1.2 ล้านบาทต่อปี โดยต้องเป็นการกู้สินเชื่อประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย “บ้านใหม่” สร้างเสร็จพร้อมโอนจากผู้ประกอบการบ้านจัดสรรทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ไม่จำกัดระดับราคา ไม่ใช่บ้านมือสอง ไม่สามารถรีไฟแนนซ์ ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินและจดจำนองตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 จนถึง 31 มีนาคม 2563 คนละ 1 สิทธิ์เท่านั้น

ธอส.เคลียร์ชัดๆ ‘บ้านดีมีดาวน์’

ฉัตรชัย ศิริไล

 

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการบ้านดีมีดาวน์ ทำให้การยื่นขอสินเชื่อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ใน 3 ปีแรกที่ครม.อนุมัติวงเงินไว้ 50,000 ล้านบาทก่อนหน้า ปกติจะมียอดค่อยๆ ไหลเข้ามา 200-300 ล้านบาทต่อเดือน ก็กระโดดขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาทช่วง 2-3 สัปดาห์แรก เพราะเมื่อรวมกับ 2 มาตรการแล้ว ผู้ซื้อจะได้สิทธิประโยชน์ 3 เด้งคือ ดอกเบี้ยตํ่าที่สุดในระบบที่ 2.5% นาน 3 ปี ได้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% และยังได้เงินดาวน์จากรัฐบาลอีก 50,000 บาทอีกด้วย      

“เรื่องเงินดาวน์ หลายคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่า จะได้รับเงินทันที เมื่อซื้อหรือจองบ้าน ขอชี้แจงว่า บ้านดีมีดาวน์ ยังดาวน์ปกติทุกอย่าง แต่เงินจะได้รับกลับคืนทีหลัง เมื่อสินเชื่อผ่านการอนุมัติจากธนาคาร มีการทำนิติกรรมโอนบ้านเรียบร้อยแล้วเท่านั้น ซึ่งเงินที่ได้รับ 50,000 บาทก็สามารถนำไปลดเงินต้น หรือจับจ่ายใช้สอยซื้อเฟอร์นิเจอร์ หรือทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไปช่วยลดเงินดาวน์ก่อน”

สำหรับโครงการบ้านตํ่ากว่า 3 ล้านบาท ยอดยื่นกู้ล่าสุดอยู่ที่ 6,700 บัญชี วงเงิน 13,400 ล้านบาท อนุมติไปแล้ว 7,800 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ผ่อนปรนเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อแต่อย่างใด ยังคงพิจารณาจากความสามารถของผู้กู้  โดยจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 จึงคิดว่า จะเต็มวงเงิน 50,000 ล้านบาทที่ได้รับอนุมัติไว้

 

นายฉัตรชัยกล่าวว่า พอร์ตสินเชื่อของธอส.มี 1.2 ล้านล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อปล่อยใหม่ปีละ 2 แสนล้านบาท และครึ่งหนึ่งของพอร์ตจะเป็นสินเชื่ออายุ 3 ปีรวม 600,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มดอกเบี้ยตํ่า และที่น่ากังวลมากคือกลุ่มลูกค้าที่มีอายุสัญญา 15 ปีขึ้นไป เพราะเวลาจ่ายเงินงวด เงินต้นจะมากกว่าดอกเบี้ย ซึ่งพอร์ตธอส.จะมีกลุ่มนี้อยู่ 12% ของ 1.2 ล้านล้านบาทคือ 1.4 แสนล้านบาท ฉะนั้นการตั้งเป้าเติบโตปีละ 3% โดยปกติถือว่าน้อยไปดังนั้นสิ่งสำคัญ จึงต้องมาดูการบริหารจัดการพอร์ตดูแลหนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) หรือสินเชื่อจัดชั้น 2 เพราะปกติลูกค้าธอส.จะเป็นลูกค้าเปราะบางมีรายได้น้อยถึงปานกลาง ดังนั้นถ้าดูไม่ดี ลูกหนี้กลุ่มนี้จะหลุดไปเป็นลูกค้าชั้น 3ได้ ก็จะกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)

“ขณะนี้ลูกหนี้ SM เราเพิ่มขึ้นจากกว่า 4% มาอยู่ที่ 6.7% ของ 1.2 ล้านบาท ถือว่าไม่เยอะ เพราะเราดำเนินตามนโยบายของรัฐ ซึ่งกลุ่ม SM นี้เป็นกลุ่มเปราะบาง ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่เราเห็นสัญญาณการจ่ายเงินไม่ตรงงวด จ่ายคร่อมงวด แบ่งจ่ายบ้าง ฉะนั้นต้องเข้าไปดูแล เพื่อไม่ให้ตกชั้นมาเป็นเอ็นพีแอล”

สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ย น่าจะลงอีก 0.25% ในไตรมาส 1 ปีหน้า แต่ธอส.ตํ่าสุดในตลาด 2.5% จะลงอีกคงเป็นไปไม่ได้ เพราะมีต้นทุน แต่ที่ลงมาได้ที่ 2.5% นั้น เพราะรัฐบาลสนับสนุนให้ธอส.แล้ว จากปกติ 2.77% ซึ่งก็ยังตํ่าสุดในตลาดเช่นเดียวกัน

 

หน้า19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,530 วันที่ 12-14 ธันวาคม พ.ศ. 2562