บริษัทสตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า โดยมีผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบคือบรรจุภัณฑ์ประเภทม้วน (Roll Form) และบรรจุภัณฑ์ประเภทซอง (Pre Form Pouch) เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 110 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 26.83% ของจำนวนหุ้นหลังการเสนอขาย แบ่งเป็นการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 99 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของบริษัทจำนวน 11 ล้านหุ้น
นายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ หรือ SFLEX เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อลงทุนในโครงการผลิตฟิล์มประเภทที่ใช้ในการปิดผนึกขึ้นรูป (Sealant) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน โดยจะดำเนินการที่โรงงาน 2 แพรกษา ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตฟิล์มเพื่อนำมาใช้ในการผลิตได้จริงไตรมาส 2 /2564 ลงทุนสร้างคลังสินค้าขนาด 5 พันตารางเมตร โดยซื้อที่ดินข้างโรงงาน 1 งบลงทุน 52 ล้านบาทเริ่มก่อสร้างไตรมาส 1/2563 จัดเตรียมความพร้อมระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท จำนวนนี้ใช้ด้านเครื่องจักรไม่เกิน 137 ล้านบาท และชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินซึ่งเป็นหนี้ระยะยาว 130 ล้านบาท หากชำระหมดจะลดภาระดอกเบี้ยลง 10 ล้านบาทต่อปี คาดหลังเพิ่มทุนหนี้สินต่อทุนจะลดมาอยู่ระดับ 0.5 เท่า จากปัจจุบัน 1.5 เท่า และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนบริษัท
ปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์
“บริษัทมีกำลังการผลิตสูงสุด 184.44 ล้านเมตรต่อปี โดยในงวด 9 เดือนปี 2562 มีอัตราการผลิตอยู่ที่ 67.84% เทียบปี 2561 อยู่ที่ 74.48% และเพื่อขยายกำลังการผลิต บริษัทได้เช่าพื้นที่อาคารโรงงานและสำนักงาน (โรงงาน 2) คาดการลงทุนเครื่อง จักรใหม่จะใช้ประสิทธิภาพเต็มในไตรมาส 3/2563”
โครงสร้างรายได้ของบริษัท มาจากการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน แยกตามประเภทสินค้าอุปโภค (Non-Food) และสินค้าบริโภค (Food) รอบ 9 เดือนปี 2562 มีสัดส่วนรายได้มาจาก Non-Food อยู่ที่ 79.82% และ Food สัดส่วน 20.18% บริษัทมีนโยบายจะขยายไปยังบรรจุภัณฑ์ Food ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มีโอกาสเติบโตมาก โดยลูกค้าหลักของบริษัท 4 รายใหญ่เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ ได้แก่ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (บจก.), บจก. ไลอ้อน (ประเทศไทย), บจก. นีโอแฟคทอรี่ และบจก. เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป โดยในปี 2561 ยอดขายบริษัทมาจากลูกค้ารายใหญ่ 4 ราย สัดส่วนราว 86.73% ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2562 สัดส่วนลูกค้ารายใหญ่ 4 ราย ลดลงอยู่ที่ 83.91% จากความสำเร็จในการขยายไปยังตลาดใหม่ๆ มากขึ้น ทั้งนี้บริษัทยังเน้นตลาดกลุ่มบีบวก
“มูลค่าตลาดของบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ปัจจุบันอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เติบโตปีละ 3-5% SFLEX มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 4% เป็นลำดับที่ 7 แต่เป็น 1 ใน 3 ของบริษัทในประเทศไทย คู่แข่งรายใหญ่ยังเป็นต่างประเทศ อาทิ กลุ่มบริษัทแอมคอร์ฯ, ทามากิ (ประเทศไทย) และฟูจิเอซ อย่างไรก็ดีบริษัทยังเน้นตลาดกลุ่มบีบวก ไม่ลงในตลาดล่างซึ่งมาร์จินตํ่า และมีแผนจะขยายไปยังตลาดกลุ่ม CLMV โดยเริ่มจากไปกับลูกค้า อาทิ ยูนิลีเวอร์ ซึ่งมีตลาดในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว”
นายปรินทร์ธรณ์ กล่าวต่อว่า จากศักยภาพการแข่งขัน คาดว่ารายได้ของบริษัท 3 ปีจากนี้จะเติบโต 10-15% จากเดิมโตปีละ 7-9% ผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 943.22 ล้านบาท กำไรสุทธิ 46.42 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 17.45% อัตรากำไรสุทธิ 4.92%
ด้านนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า คาดกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) กำหนดวันจองซื้อหุ้นช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ และคาดจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในสัปดาห์ที่ 3 เดือนธันวาคมนี้ โดยได้เริ่มเดินสายโรดโชว์ที่หาดใหญ่ จ.สงขลา กรุงเทพ ฯ และเชียงใหม่ ตามลำดับ
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ 9 แห่งที่เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย ประเมินช่วงราคาเหมาะสมไว้ที่ 5.4-6.1 บาท
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,527 วันที่ 1-4 ธันวาคม 2562