คลัง-ธอส. เชื่อมาตรการรัฐ ดันสินเชื่อบ้านโตต่อยันปีหน้า

26 พ.ย. 2562 | 11:41 น.

สศค.-ธอส. ระบุ ปีหน้าตลาดอสังหาฯ ยังโตดีต่อเนื่อง ปัจจัยจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ เชื่อไม่เกิดปัญหาบิดเบือนตลาด เผย ยอดสินเชื่อบ้านประชารัฐดีเกินคาด 1 เดือน ปล่อยได้ 7,700 ล้านบาท ส่งผลสินเชื่อภาพรวมเกือบแตะเป้า 2.03 แสนล้านบาท รับ NPL สูง แต่มั่นใจบริหารจัดการได้ 

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า จะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2562 จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ซึ่งจะเร่งให้ประชาชนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเร็วขึ้น และการเติบโตดังกล่าว จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวดีขึ้นกว่าปีนี้ได้ เพราะภาคอสังหาริมทรัพย์มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมาก หากภาคอสัหาริมทรัพย์ฟื้นตัวก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้เติบโตได้เช่นกัน

คลัง-ธอส. เชื่อมาตรการรัฐ ดันสินเชื่อบ้านโตต่อยันปีหน้า

ส่วนข้อกังวลที่ว่าการเร่งกระตุ้นให้ประชาชนซื้อที่อยู่อาศัยในระยะเวลาสั้น จะทำให้เกิดการบิดเบือนตลาด เช่นเดียวกับโครงการรถยนต์คันแรกนั้น ยืนยันว่ามาตรการที่ออกมาจะไม่เป็นการบิดเบือนตลาด ไม่ทำให้ประชาชนนำเงินในอนาคตมาใช้เพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยก่อนเวลาอันควร และจะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีระยะเวลาการผ่อนยาว 20-30 ปี จะต้องเกิดขึ้นจากความต้องการจริงเท่านั้น 

คลัง-ธอส. เชื่อมาตรการรัฐ ดันสินเชื่อบ้านโตต่อยันปีหน้า

"ไม่เหมือนกับโครงการรถยนต์คันแรก ที่คนใช้สิทธิ์เพราะแค่อยากได้รถราคาถูก ได้เงินภาษีคืน แต่ใจจริงไม่ได้อยากได้รถมาใช้แต่แรก ซึ่งผิดกับการอยากมีบ้าน ต้องเป็นเรื่องที่คนคิดว่าอยากจะซื้ออยู่แล้ว คิดมานาน ทบทวนมานานแล้ว แต่ได้จังหวะนี้ที่ทุกอย่างเอื้ออำนวย เลยตัดสินใจไวขึ้นเท่านั้น"นายลวรณ กล่าว 

ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะยังคงเติบโตได้ดีขึ้น เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา ทั้งการบริโภคภายในประเทศ และอสังหาริมทรัพย์จะเป็นต้วเร่งทำให้ประชาชนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยง่ายขึ้น โดยไม่น่ากังวลว่ามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐที่ออกมา จะเป็นการบิดเบือนตลาด ทำให้การซื้อที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นเร็วผิดปกติ เนื่องจากที่อยู่อาศัยมีระยะเวลาการผ่อนชำระนาน 20-30 ปี จึงเกิดขึ้นเเฉพาะผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงอยู่แล้ว

คลัง-ธอส. เชื่อมาตรการรัฐ ดันสินเชื่อบ้านโตต่อยันปีหน้า

ส่วนของแข่งขันของสถาบันการเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีหน้านั้น จะยังคงแข่งขันสูง แต่จะไม่ถึงขั้นแข่งขันด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก เนื่องจากแต่ละสถาบันการเงินมีต้นทุนด้านอัตราดอกเบี้ยที่จำกัดอยู่แล้ว ขณะที่ธอส.ยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ให้อยู่ที่ 2.5% นั้น ต่ำที่สุดในตลาด น่าจะยังคงทำให้ธอส.เป็นธนาคารที่ประชาชนเลือกขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่แน่นอน ทั้งนี้ธอส.ตั้งเป้าหมายการสินเชื่อปีหน้าว่าจะขยายตัวกว่าปี 2562 ประมาณ 3% ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ เพราะเป้าหมายลูกค้าหลักของธอส.ยังคงเป็นประชาชนที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทอยู่ โดยปัจจุบันมีลูกค้ากลุ่มดังกล่าวถึง 80% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด

คลัง-ธอส. เชื่อมาตรการรัฐ ดันสินเชื่อบ้านโตต่อยันปีหน้า

ส่วนความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับ ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกินหลังละ 3 ล้านบาท วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ว่า หลังจาก มีการบังคับใช้มาตรการมาประมาณ 1 เดือน ขณะนี้ได้มีผู้ยื่นกู้ในมาตรการดังกล่าวมาแล้วทั้งสิ้น 5,900 ราย คิดเป็นวงเงินขอสินเชื่อ 11,840 ล้านบาท โดยได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 7,700 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 2,900 ล้านบาท ซึ่งถือว่าได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยสูงมาก 

ทั้งนี้เป็นผลมาจาก ราคาที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาทยังคงเป็นที่ต้องการของประชาชนสูง ประกอบกับผู้ประกอบการมีสต๊อกส่วนดังกล่าวเหลือค่อนข้างมากทำให้ ความต้องการซื้อและความต้องการขายในช่วงเวลานี้ใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกันการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2 % เหลือ 0.01 % และลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01 % นั้น เป็นอานิสงส์ดีที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยง่ายขึ้น 

นายฉัตรชัย กล่าวว่า มาตรการ กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้สินเชื่อของธอส.ขยายตัวได้ดี โดย ณ วันที่ 22 พ.ย.2562 ธอส.ปล่อยสินเชื่อได้รวมทั้งสิ้น 178,568 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 203,000 ล้านบาท ทั้งนี้หากในเดือนพ.ย.-ธ.ค.สามารถปล่อยสินเชื่อได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 19,000 ล้านบาท จะทำให้ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ได้อย่างแน่นอน

"ปัจจัยหลักมาจากมาตรการของรัฐที่กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่กระตุ้นให้คนซื้อที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น ซึ่งธอส.ก็เป็นธนาคารที่ประชาชนเลือก เพราะเป็นธนาคารเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่คิด ของธอส.ก็อยู่ในระดับต่ำที่สุดในตลาด ที่ 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.5% อยู่แล้ว"นายฉัตรชัย กล่าว

ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ปัจจุบันอยู่ที่ 4.6% ของสินเชื่อรวม ซึ่งสูงขึ้นกว่าช่วงสิ้นปี 2561 ที่อยู่ที่ 4.2% และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่จะลด NPL ให้เหลือ 4.05% เนื่องจากลูกค้าธอส.ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซี่งนับเป็นกลุ่มเปราะบางด้านรายได้ จึงอาจมีปัญหาความสามารถในการผ่อนชำระได้

อย่างไรก็ตาม NPL ของธอส.นั้น แม้จะสูงขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับเดียวกับ NPL ของธนาคารพาณิชย์ จึงถือว่าไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด เพราะสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ 

ทั้งนี้ธอส.ก็มีแผนในการบริหารจัดการหนี้เสียให้ลดลง โดยตามแผนจะให้ลดลงประมาณ 0.15% โดยมีแผนให้สามารถขายหนี้เสียระหว่างประชาชนต่อประชาชนได้เอง โดยให้ธอส.เป็นกลางในการเจรจา ซึ่งจะทำให้หนี้เสียของธนาคารลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ตามกฎหมายแล้ว ธอส.สามารถขายหนี้ได้เพียง 55% ของพอร์ตหนี้ทั้งหมด เราเลยคิดว่าจะให้ลูกหนี้คนไทยที่เป็นหนี้เสียกับแบงก์อยู่ ให้มาแสดงความจำนงค์อยากขายหนี้ของตัวเองออก เมื่อมีคนสนใจจะซื้อหนี้ตรงนี้ แบงก์ก็จะจับแมชชิ่งให้ หนี้นั้นก็จะหายไปจากแบงก์เพราะมีคนกู้ใหม่เข้ามาเสียบแทน"นายฉัตรชัย กล่าว