"สารัชถ์” มั่นใจแผน5 ปี GULF เบอร์ 1 เอกชนผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ 1.2 หมื่นเมกะวัตต์ ลุยลงทุน-ประมูลโครงการรัฐ ดันรายได้อนาคตจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเป็น 5-10% ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ปี 63 เป็น 3.6 หมื่นล้านบาท ใช้งบลงทุน 2 หมื่นล้าน
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ฯ (GULF) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของบริษัทว่า นอกเหนือจากขยายการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศแล้ว บริษัทยังพยายามขยายธุรกิจ ตามนโยบายรัฐบาลที่วางไว้ ทั้งโครงการลงทุนในอีอีซี และที่เข้าประมูลในปีนี้ ในโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และโครงการมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง (ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) รวมถึงโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาเงื่อนไขการประมูลและพันธมิตรที่ไปด้วย กันได้
“ผมมองว่าโครงสร้างพื้นฐานที่เปิดประมูลใหม่น่าสนใจ เพราะเป็นโครงการของรัฐ การที่ GULF ร่วมด้วยยังช่วยให้เกิดการแข่งขัน เป็นประโยชน์กับประเทศ แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละโครงการ โดยคาดว่าโครงสร้างรายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตน่าจะเพิ่มเป็น 5-10% ได้ จากปัจจุบันที่ยังน้อยมาก”
ส่วนความคืบหน้าการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ขนาด 1,400 เมกะวัตต์ ของ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) เขากล่าวว่ายังไม่มีการเจรจาใดๆเพราะปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนในหลาย ๆ โครงการทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศและต่างประเทศ และโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานดังที่กล่าว
สำหรับแผนปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้เป็น 3.6 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายปีนี้ที่คาดอยู่ระดับ 3.3 หมื่นล้านบาท จากการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าไบโอแมส 25 เมกะวัตต์ ในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD)ในเดือนมีนาคม 2563, พลังงานลม 30 เมกะวัตต์ในเวียดนาม, โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (DIPWP) ในประเทศโอมาน เฟสแรก 40 เมกะวัตต์ จากทั้งหมด 5 เฟส กำลังการผลิตรวม 326 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยเข้าระบบทั้งหมดภายในปี 2565
สารัชถ์ รัตนาวะดี
ขณะแผนลงทุนในปีหน้าจะใช้เงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในการสร้างโรงไฟฟ้า IPP 2 แห่ง คือแห่งแรก GSRC กำลังการผลิต 2,650 เมกะวัตต์ เริ่มก่อสร้างปลายปี 2561 คืบหน้าแล้วประมาณ 39.5% กำหนด COD ปี 2564 และโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 กัลฟ์ ปลวกแดง (โครงการ GPD) ตั้งอยู่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดระยอง กำลังการผลิต 2,650 เมกะวัตต์ ล่าสุด (18 พ.ย. 62) ได้ลงนามสัญญาเงินกู้ในวงเงิน 4.1 หมื่นล้านบาท โดยมีสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศรวม 16 แห่งร่วมปล่อยกู้ ระยะเวลา 23 ปี (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 3.0% ต่อปี) กำหนด OCD ในปี 2566-2567 (ตารางประกอบข่าว)
นายสารัชถ์ ยังกล่าวถึงแผน 5 ปี โครงสร้างรายได้ยังมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในประเทศเป็นหลัก บริษัทยังมองหาโอกาสลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเพิ่ม โดยเฉพาะโครงการพลังงานพลังน้ำในลาว ที่ปัจจุบันมีโครงการในมืออยู่ 3 โครงการ กำลังการผลิตราว 600-700 เมกะวัตต์/โครงการ ได้แก่ โครงการ Pak beng โครงการ Pak ley และโครงการ Sanakham ซึ่งยังต้องรอข้อสรุปการเจรจาเพื่อขายไฟฟ้ากลับเข้ามาในไทยก่อนเดินหน้าโครงการต่อไป
ส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (LPG) ขนาด 6,000 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม คาดว่าจะต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อใช้ในโครงการราว 6 ล้านตัน/ปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดของโครงการ และความต้องการใช้ไฟฟ้าในเวียดนาม คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2563
ต่อข้อถามที่ว่ามูลเหตุที่ราคาหุ้น GULF ยังทะยานขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่สิ้นปี 2561 ถึงปัจจุบัน (18 พ.ย. 62) ปรับขึ้นแล้ว 112% มาปิดที่ 173 บาท และส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคป ปรับขึ้นกว่าเท่าตัวจากสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 1.74 แสนล้านบาท เป็น 3.69 แสนล้านบาท ส่งผลให้เขาขึ้นเป็น แชมป์เศรษฐีหุ้น นายสารัชถ์ ตอบสั้นๆว่า “ผมมีนโยบายว่า ข้อมูล GULF ต้องเปิดเผยให้มากที่สุด และต้องเข้าถึงนักลงทุนรายย่อย เห็นได้ว่าเรามีการเชิญนักลงทุนรายย่อย ไปเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าปีละ 3-4 รอบแต่ละรอบมีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน”
ด้านนายสมิทธ์ พนมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน GULF กล่าวว่าแผนในอีก 5 ปี การผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ หรือ OCD ของบริษัทจะเพิ่มเป็น 12,000 เมกะวัตต์ (รวมกำลังการผลิตที่ประเทศโอมาน 326 เมกะวัตต์ และเวียดนาม 458.8 เมกะวัตต์) จากปัจจุบันอยู่ระดับ 6,000 เมกะวัตต์ นอกจากนี้บริษัทตั้ง เป้าหมายระยะยาวจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากพลังงานสะอาดเพิ่มเป็น 15-20% จากปัจจุบันที่รายได้หลักมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าสัดส่วน 95% และธุรกิจอื่นๆอีก 5%
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,524 วันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2562