ธสน. แนะผู้ส่งออกไทยลุยหาตลาดใหม่

11 พ.ย. 2562 | 05:45 น.

ธสน. ชี้มูลค่าส่งออกโลกหดตัวในรอบ 3 ปี โดย 6 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของโลกลดลง 2.8% หรือ 268,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การส่งออกของไทยหดตัว 2.9% หรือ 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ธสน. แนะผู้ส่งออกไทยลุยหาตลาดใหม่

นายพิศิษฐ์  เสรีวิวัฒนา  กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) หรือ ธสน. เปิดเผยว่า สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ยังยืดเยื้อมีส่วนทำให้มูลค่าส่งออกของโลกในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 หดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยข้อมูลล่าสุดจากองค์การการค้าโลก (WTO) พบว่า การส่งออกรวมของทั้งโลก 6 เดือนแรกของปี 2562 หดตัว 2.8% หรือมูลค่าส่งออกลดลงราว 268,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 0.3% ของจีดีพี (GDP) โลก

 ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และจีนเป็นสัดส่วน 11% และ 12% ตามลำดับ ได้รับผลกระทบจากการส่งออกหดตัว 2.9% หรือส่งออกลดลงกว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แม้จะได้อานิสงส์จากการที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าบางรายการจากไทยทดแทนสินค้าจีนที่มีราคาแพงขึ้นจากภาษี ทำให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในครึ่งแรกปี 2562 ขยายตัวถึง 17% แต่เศรษฐกิจไทยโดยรวม ซึ่งพึ่งพาการส่งออกสินค้ากว่า 55% ของ GDP ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากประเทศคู่ค้าของไทยส่วนใหญ่ หรือราว 80% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้เช่นกัน 

อย่างไรก็ดี  ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าไม่รุนแรงเท่ากับอีกหลายประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เดียวกับจีนเป็นสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้ ประเทศที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากกว่าจีนได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น เม็กซิโก แคนาดา เวียดนาม อินเดีย และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่พึ่งพาตลาดจีนมาก เช่น เกาหลีใต้ส่งออกไปจีนสูงถึง 27% ต้องประสบกับการส่งออกหดตัวถึง 8.6% หรือส่งออกได้ลดลงกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางออกในระยะสั้นของผู้ประกอบการไทยจึงได้แก่ การเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ในเอเชีย แอฟริกา อเมริกากลาง และลาตินอเมริกา โดยเฉพาะ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งกำลังซื้อยังเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง 

ธสน. แนะผู้ส่งออกไทยลุยหาตลาดใหม่

ทั้งนี้  ในระยะยาว ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวไปลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่รองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต เช่น ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือกิจการที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลกในอนาคตข้างหน้า สามารถอยู่รอดและขยายธุรกิจได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้ายืดเยื้อหรือมาตรการทางการค้ารูปแบบใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในระยะถัดไป ทั้งนี้ 10  อุตสาหกรรมเป้าหมายหรือ S-curve ที่รัฐบาลส่งเสริมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม เป็นต้น

สงครามการค้าที่เกิดขึ้นเป็นเพียงตัวอย่างของความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย ทางรอดของผู้ประกอบการไทยได้แก่ การพัฒนาการผลิตและการตลาดที่มองไปสู่อนาคต เริ่มต้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต นวัตกรรม และเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ในปัจจุบันและอนาคต ไม่หยุดแสวงหาและสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจแม้ในตลาดใหม่ที่ไม่คุ้นเคย โดยธนาคารพร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่พร้อมแข่งขันในธุรกิจระหว่างประเทศ