ZIGA ชูจุดแข็งขายหุ้น ธุรกิจไร้คู่แข่ง-อัตรากำไรสุทธิเกิน 20%

29 ก.ค. 2560 | 02:00 น.
นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กโครงสร้างประเภท Pre-zinc และท่อเหล็กร้อยสายไฟ เปิดเผยว่า บริษัทจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ประมาณเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อนำเงินไปลงทุนสร้างคลังสินค้า โรงงานใหม่ เพิ่มกำลังการผลิตเท่าตัว จากปัจจุบันผลิตเต็มกำลังที่ 6.5 หมื่นตัน เป็น 1.2 แสนตันในปี 2562 เพื่อผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ซิก้านำเข้าวัตถุดิบจากจีน และเป็นผู้ผลิตเหล็กท่อ ประเภท Pre-zinc แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย คู่แข่งเข้ามายาก ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมสูงสำหรับงานโครงสร้างเพราะมีจุดเด่นหลายเรื่อง ไม่เป็นสนิมข้างในท่อ ไม่ต้องเสียเวลาในการทาสี และมีขนาดให้เลือกมากมาย รวมทั้งได้มาตรฐานไฟฟ้าเป็นที่ยอมรับทั่วโลก (UL STANDARD) โดยขายผ่านตัวแทนใหญ่ 3 ราย

[caption id="attachment_185057" align="aligncenter" width="335"] ศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA ศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA[/caption]

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงาน คาดยอดขายจะเติบโตไม่ตํ่ากว่า 30% ต่อปี จากผลงานในอดีต 3 ปี ขยายตัวเฉลี่ย 44% สูงกว่าอุตสาหกรรมท่อเหล็กที่ 5-8% และมีอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 20% หลังใช้โปรแกรม ERP มาวางแผนการผลิตและบริหารสินค้าคงคลัง ลดต้นทุนทำให้มีส่วนสูญเสียลดลง รวมถึงต้นทุนทางการเงินตํ่า โดยมีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพียง 0.2 เท่าเท่านั้น

ทั้งนี้ในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 226.13 ล้านบาท ณ สิ้นปี บริษัทมีสินทรัพย์รวม 626 ล้านบาท หนี้สินรวม 311 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 315 ล้านบาท

“เราไม่มีนโยบายเก็งกำไรค่าเงินและราคาเหล็ก มีการป้อง กันความเสี่ยงตามธรรมชาติโดยการส่งมอบลูกค้าภายใน 45 วัน เร็วกว่าอุตสาหกรรมที่ส่งมอบกันภายใน 60-75 วัน โปรดักต์ตอบโจทย์ในการใช้ ลูกค้าติดใจ และมีแผนที่จะพัฒนาคุณภาพสินค้าที่ดียิ่งขึ้น ปัจจุบันเราขายกว่า 3.6 หมื่นตัน คิดเป็นสัดส่วน เกือบ 9% ของตลาดท่อ 4 แสนตันในปี 2559” นายศุภกิจกล่าว

ส่วนการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 130 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุน 80 ล้านหุ้น และหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม 50 ล้านหุ้น รวม 25% ของทุนเรียกชำระแล้วมากกว่าเกณฑ์ mai ที่กำหนด 15% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยต้องการจัดสรรให้พันธมิตรที่เป็นนักลงทุนสถาบันไม่เกิน 25% ของหุ้นไอพีโอ มีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,282 วันที่ 27 - 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560